บันทึกนายแว่นธรรมดา "สงคราม กับ ตลาดหุ้น"

ช่วงนี้หลายท่านคงมีความกังวลเกี่ยวกับ “ภาวะสงคราม” กันบ้าง มีคำถามจากเพื่อนๆ นักลงทุนสอบถามนายแว่นธรรมดาเกี่ยวข้องกับประเด็นสงครามว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ เกาหลีเหนือจะเป็นผู้ก่อสงครามหรือเปล่า

เรื่องราวเกี่ยวกับ “สงครามนั้น” ส่วนตัวผมเองก็พยายามจะไม่กังวลกับเหตุการณ์ที่ผมควบคุมไม่ได้ครับ แต่ผมจะพยายามทำการบ้านให้มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น รักษากฏเหล็กส่วนตัวไว้ให้ดีที่สุดในยามที่ตลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นมาตลอด) เพราะหากผมคาดเดาผิดผมอาจเสียโอกาสบางอย่างไปก็ได้ครับ ทางที่ดีที่สุดของผมก็คือทำการบ้าน และเลือกหุ้นให้รอบคอบที่สุดครับ

อย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามนั้นสร้างผลกระทบให้กับตลาดหุ้นอย่างมากมายในอดีต สงครามที่ใกล้เราที่สุดก็ได้แก่ สงครามในลิเบีย อาฟกานิสถาน ในอิรัก และเวียดนาม ซึ่งแต่ละครั้งก็สร้างผลลัพท์ที่ไม่ค่อยจะดีกับตลาดหุ้น แต่ผลกระทบก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละวาระ ทุกครั้งที่เกิดสงครามนั้นถ้าเป็นสงครามครั้งใหญ่จะเกิดผลกระทบในวงกว้าง และส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก หากเรามัวแต่คิดกังวลไปก่อน ถ้ามันไม่เกิดจริงๆ ก็หมายความว่า “เรากังวลไปฟรีๆ” และหากว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าเราจะกังวล หรือไม่กังวล “มันก็เกิดขึ้นอยู่ดี” แต่ความกังวลก็มีข้อดีตรงที่มันไม่ทำให้เราประมาทจนเกินไป ทำให้เราลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นครับ

ความคิดเห็นส่วนตัวของผม สิ่งที่ผมสนใจก็เป็นเรื่องของสงครามเช่นกันครับ แต่มันคือ “สงครามทางการตลาด” สงครามการค้าของบริษัทที่ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา และผลแพ้ชนะก็หมายถึง “ความสำเร็จทางการค้า” ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ “หุ้น” โดยตรงอย่างแน่นอนครับ การเลือกหุ้นที่จะชนะสงครามทางการค้าให้ได้นั้น เราก็ควรเลือกหุ้นที่มีกำแพงคูเมืองที่แน่นหนา หรือมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนนั่นเองครับ

กฏเหล็กข้อหนึ่งที่ผมมักจะท่องจำขึ้นใจอย่างสม่ำเสมอก็คือ “จงกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง” หมายความว่า หากเรามั่นใจว่าธุรกิจที่เราสนใจนั้นมีดีมากพอ เรามองเห็นศักยภาพบางประการที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น โอกาสในความสำเร็จสำหรับสิ่งที่เราวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วเป็นไปได้สูง และยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมา ถ้าเป็นแบบนี้เราควร “เป็นตัวของตัวเอง” และต้องเคารพการตัดสินใจของตนเอง ถ้าตัดสินใจผิดก็ต้องยอมรับ และปรับปรุง ดังเช่น วอเรนต์ บัฟเฟตต์ ที่เข้าซื้อกิจการรถไฟ ที่หลายคนมองว่า “ตกยุค” ไปแล้ว และตอนที่บัฟเฟตต์ซื้อนั้นคนก็ไม่เข้าใจว่าซื้อไปทำไม แต่ตอนหลังมารู้ถึงเหตุผลว่า… น้ำมันแพงขึ้น คนจะหันมาเดินทางด้วยรถไฟมากขึ้น ขนส่งของมากขึ้น กว่าที่คนอื่นรู้ “ราคาหุ้น” ก็ขึ้นไปเรียบร้อยแล้วครับ

แม้ช่วงนี้กลิ่นของ “สงคราม” ภายนอก เหมือนจะเป็นประเด็นให้ใครหลายคนขบคิด แต่ความเป็นจริงแล้วสงครามเกิดขึ้นตลอดเวลา “ในใจของแต่ละคน” และเราเองก็เลือกที่จะเกิดใหม่ทุกๆ วินาที ด้วยวิธีคิดของเราเองครับ

สำหรับผมแล้วจะยังคงเดินหน้าต่อไป… ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ผมก็คงต้องผ่านมันไปให้ได้อยู่ดีครับ เมื่อเราผ่าน “วิกฤติ” ไปได้เรื่อยๆ แล้ว เราก็จะแกร่งขึ้น และไม่กลัววิกฤติต่างๆ จนส่งผลกระทบกับแนวทางการลงทุนของเรามากจนเกินไปนั่นเองครับ

(นายแว่นธรรมดา)

New_World