อยากมีธุรกิจส่วนตัว ไม่ยาก "บริษัทเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่"

อย่าลืมนะครับ… ผมชื่อ “มาวิน” เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งเหมือนกับคนทั่วๆ ไป ที่คิดจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ตามแบบฉบับที่เราต่างก็ลงความเห็นกันว่าใช่แบบนั้นแหละใช่เลย

 หากผมทำงานประจำไปเรื่อยๆ ผมคงจะกลายเป็นพนักงานอาวุโส กลายเป็นหัวหน้าแผนก ผู้จัดการแผนก ผู้อำนวยการแผนก หรือกรรมการผู้จัดการในที่สุด งานประจำมันดีอย่างนี้นี่เอง แต่สุดท้ายแล้วผมก็มาพบจุดเปลี่ยนในชีวิตของพนักงานตัวน้อยๆ จนได้ เมื่อผมมีคำถามในใจที่มันคอยมารบกวนผมตลอดเวลาการเป็นพนักงานแสนสุขว่า “งานประจำให้อะไรกับผมบ้าง”

ไอเดียธุรกิจ เล็กๆ การทำงานประจำให้อะไรกับคุณบ้าง ผมเองก็ทำงานประจำมาหลายปีดีดักแล้ว ความก้าวหน้าก็มีพอสมควร ตามเป้าหมายที่ผมวางแผนเอาไว้ผมจะต้องก้าวหน้าไปเรื่อยๆ กับงานที่ผมทำ แต่ผมกลับรู้สึกอิ่มตัว และไม่ท้าทายอีกต่อไป ถ้าผมรู้สึกแบบนี้ผมควรจะไปทำอะไรดีนะ

อันที่จริงผมเห็นข้อดีของงานประจำอยู่บ้างครับ ไม่อย่างงั้นผมคงไม่ทำมันแน่นอน ข้อดีของมันน่ะหรือก็คือการที่เราได้นั่งอยู่ในออฟฟิชแอร์เย็นฉ่ำ ได้แต่งตัวโก้ๆ สวมเสื้อเชิ๊ต ผูกเนคไท กางเกงเท่ๆ ตามสมัย ออกจากบ้านคนข้างบ้านก็ชื่นชมไอ้หมอนี่ทำงานการเป็นหลักเป็นแหล่ง ดูดีทีเดียว มันก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไรนี่หน่า…

แต่เมื่อผมเติบโตขึ้นอย่างที่ผมตั้งใจเอาไว้สำหรับการเป็นลูกจ้างมืออาชีพ ผมกลับพบกับอุปสรรคที่มากขึ้น หน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงขึ้น จนเบียดบังเวลาส่วนตัวของผมแทบหมดสิ้น

 

ช่วงที่ยุ่งที่สุดสำหรับงานประจำของผมก็คือช่วงหลังเลิกงานครับ… ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอกครับ มันคือช่วงหลังเลิกงานจริงๆ แต่เป็นการยุ่งอยู่กับกองเอกสารที่มันสะสมมาทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี แล้วเวลางานของผมมันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย…

เวลางานส่วนใหญ่มันหมดไปกับการประชุมบ้าบอคอแตกไงล่ะครับ บางทีการประชุมมันไม่ได้ช่วยให้เกิดอะไรขึ้นมาเลยนอกจากการสร้างประเด็นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก (ประเด็นเก่าๆ ก็แย่พออยู่แล้ว) สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งทำงานล่วงเวลากับเอกสารกองโต และเวลาส่วนตัวของผมก็ลดน้อยลงทุกทีๆ

เมื่องานประจำเริ่มที่จะไม่แสนสุขอย่างที่ผมวาดฝันเอาไว้เสียแล้ว ผมจึงเริ่มต้นค้นหาคำตอบของชีวิตใหม่จากคำถามในใจผมที่ว่า

 “งานประจำให้อะไรกับผมบ้าง”

และนี่คือคำตอบที่ผมพอจะหามาได้จากหัวคิดน้อยๆ ของผมครับ…

งานประจำทำให้ผมได้มีเงินใช้ทุกๆ สิ้นเดือน

งานประจำทำให้ผมได้แต่งตัวดีๆ

งานประจำทำให้คนรอบข้างผมรู้สึกดี

งานประจำทำให้ผมมีระเบียบวินัยมากขึ้น

งานประจำทำให้ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

งานประจำทำให้ผมต้องทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

งานประจำทำให้ผมกินข้าวไม่ตรงเวลา

งานประจำทำให้ผมไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว

งานประจำทำให้ผมต้องเดินทางไกลทุกวัน

งานประจำทำให้ผมเหนื่อยทุกครั้งที่กลับมาที่บ้าน…

…..

..

(หลังๆ ชักจะเป็นข้อเสียซะแล้วซิ)

ผมลองทบทวนหลายรอบหลายสิ่งที่ผมได้รับจากการทำงานประจำก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และก็มีอีกหลายสิ่งแย่ๆ ที่ผมได้รับจากการทำงานประจำเช่นกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ได้รับจากการทำงานประจำเลยนั่นก็คือ “อิสระภาพ”

…การทำงานนั้นต้องใช้เวลาไปแลกเงิน ซึ่งเวลาที่เราเอาไปแลกมันก็คืออิสระภาพของเรานั่นเอง…

ผมคิดขึ้นมาได้ว่าจริงซินะ เราไม่มีอิสระภาพที่แท้จริงมานานแค่ไหนแล้ว สุขภาพก็ย่ำแย่ลงทุกวัน เดินขึ้นบันไดนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านก็ดึกไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย ไม่มีเวลาไปทำสิ่งที่เรารัก งานอดิเรกที่เคยทำอย่างสนุกสนานก็ไม่ได้ทำมันมานานแค่ไหนแล้ว…

“นี่คือผลตอบรับของการทำงานประจำจริงๆ หรือ”

อันที่จริงแล้วผมเองก็ยังไม่ได้ตระหนักอะไรมากมายขนาดนั้นครับ ผมยังคงคิดว่าการทำงานประจำนั้นมั่นคง มีเงินใช้แน่ๆ ทุกเดือน และตราบใดที่ผมยังทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพผมก็จะมีโอกาสที่ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ งานประจำมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก

จนอยู่มาวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศมาคุ โดยต้องขอย้อนอดีตกลับไปหลายปีหน่อยครับ ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญสำหรับบ้านเรานั่นก็คือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ช่วงปี 1997 หรือวิกฤติที่เรารู้จักกันดี “ต้มยำกุ้งนั่นเอง”

ช่วงที่เกิดวิกฤตผมเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรหรอกนะครับว่ามันร้ายแรงขนาดไหน แต่ก็เห็นบริษัทปิดไปเป็นระยะ โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ผมคิดในใจว่า “โชคดีที่บริษัทเราไม่ได้ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการเงิน”

แต่มันจะรอดจริงหรือ…

อยู่มาวันหนึ่งมีข่าวใหญ่ทางทีวีที่ถูกประกาศออกมาโดยนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นด้วยการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ คือ เปลี่ยนระบบการบริหารจัดการค่าเงินบาท จากควบคุม เป็นแบบค่าเงินบาทลอยตัว…

ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ผมได้ข่าวอีกว่าตลาดหุ้นบ้านเราตกอย่างหนัก ทำให้มีคนเสียหายจากการเล่นหุ้นเยอะ และจากนั้นไม่นานก็มีข่าวคนฆ่าตัวตาย คนล้มละลาย บริษัทล้มละลาย ตามมาอีกระลอก ยังครับยังมีอีก จากนั้นคนเคยรวยก็หันมาเปิดตลาดนัดคนเคยรวย ใครเคยมีเงินทองร่ำรวยมากมายแค่ไหนก็ต้องมาเปิดท้ายขายของ ขายแซนวิช เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดจากวิกฤตการณ์ในครั้งนั้น

ใช่แล้วครับ… บริษัทของผมเองก็ไม่รอดเช่นกัน…

ระหว่างที่ผมทำงานผมได้ข่าวจากบอร์ดบริหารของบริษัทเป็นระยะๆ ว่าจะปิดบริษัท เล่นเอาใจดวงน้อยของพนักงานตัวเล็กอย่างผม และเพื่อนๆ ร่วมงานเต้นไม่เป็นจังหวะกันเลยทีเดียวครับ แต่สุดท้ายผมก็กลับมาสะดุดขาตัวเองเสียก่อน…

ผมทำงานผิดพลาดชิ้นใหญ่ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้หลายแสนในช่วงเวลานั้น… บริษัทต้องเสียหายหลายแสน เจ้านายเรียกผมเข้าไปคุยในห้องเป็นกรณีพิเศษ…

เจ้านาย “คุณมาวิน คุณทำงานครั้งนี้คุณทำงานผิดพลาดร้ายแรงเลยนะบริษัทเสียหายไปมาก คุณจะให้ผมทำยังไงดี”

ผม “ผมทำงานดีมาตลอด ขอโอกาสใหม่ได้มั้ยครับ”

เจ้านาย “ไม่ได้ สิ่งที่คุณทำมันทำให้บริษัทเสียหายไปมาก ผมขอเสนอตัดเงินเดือนของคุณเพื่อชดใช้สิ่งที่คุณทำเป็นระยะเวลาหนึ่งปี”

ไอเดียธุรกิจ เล็กๆผมแทบช็อก!!!

จากความเสียหายครั้งล่าสุดผมต้องโดนตัดเงินเดือนหลายพันบาทต่อเดือนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย แล้วค่าใช้จ่ายสาระพัดผ่อนของผมล่ะจะทำอย่างไร ค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายสาระพัด ฯลฯ แล้วสิ่งที่ผมทำดีกับบริษัทมาโดยตลอดมันไม่มีผลอะไรบ้างเลยหรือ…

ผมอดทนโดนตัดเงินเดือนไปหลายเดือน ผมก็คิดว่าผม และบริษัทคงจะผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นไปได้…  แต่ในที่สุดบริษัทก็ปิดกิจการ…

ปิดกิจการ !!!

บริษัทที่เคยมั่นคง ที่ดูใหญ่โตจากสายตาผู้คนภายนอก ต้องปิดกิจการในที่สุด แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้วผมก็ยังจำภาพที่พนักงานทุกคนต้องเก็บข้าวของกลับบ้านในครั้งนั้นได้ติดตา…

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่ขังตัวเองไว้กับงานประจำอีกต่อไป ผมจะต้องเริ่มต้นทำอะไรซักอย่างที่เป็นของตัวเอง ผมจะเอาเวลาของผมคืนมา ผมไม่ต้องการเอาเวลาไปแลกเงินอีกต่อไปแล้ว ผมต้องการเป็นอิสระเสียที…

ใช่แล้วครับ “ผมต้องการเป็นอิสระแล้ว”

แต่การทำธุรกิจมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด สำหรับการที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจสมัยก่อนถือเป็นเรื่องยากพอตัวทีเดียว ผมเองก็ล้มลุกคลุกคลานมามาก เจ็บมาก็ไม่น้อย… เรื่องราวต่อจากนี้ไปจะเป็นประสบการณ์ “เจ็บตัว” ของจริงของผม โปรดติดตามนะครับ…

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

1 reply
  1. Nutchaya Cherngtern
    Nutchaya Cherngtern says:

    อยากาออกจากงาน แต่ไม่้รู้ว่าจะทำอาชีพอะไรดี ที่จะพอจ่ายค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้านได้ อื่นๆอีกจิปาถะ
    ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

Comments are closed.