ทัศนคติแห่งความร่ำรวย VS ทัศนคติแห่งความยากจน

เมื่อเรามีความเชื่อมั่นโดยบริสุทธิ์ใจแล้ว เราก็จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากคนจน ไปเป็นคนรวย คนที่ดูเหมือนมีเงินน้อย ไม่มีความมั่นคงในชีวิต ณ.ตอนนี้  “เปลี่ยนใหม่” ให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่ง และมั่นคงในอนาคตอย่างยั่งยืนครับ (ปล. อย่าลืมความสุขในชีวิตด้วยนะครับ หากรวยแล้วมีความทุกข์ หรือทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ)

30 up bookจากกฎ 80/20 ทำให้เราได้รู้ว่า… การคิดแบบคนส่วนใหญ่ (ที่ไม่รวย) นั้นจะไม่ทำให้เราแตกต่าง เพราะคนส่วนน้อยที่จะประสบความสำเร็จ หากเราคิดเหมือนๆ กับคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นคนในกลุ่ม 80 แต่หากเราคิดแบบคนกลุ่ม 20 ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่ร่ำรวย เราก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ครับ… ต่อจากนี้เราจะมาเปรียบเทียบทัศนคติแห่งความร่ำรวย กับทัศนคติแห่งความยากจน เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ว่า ทัศนคติแบบไหนที่จะนำพาชีวิตเราไปในอนาคต มาดูกันครับ…

 

“คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคนที่ร่ำรวยต้องได้มาโดยทุจริต แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะมองตรงกันข้าม”

ทัศนคติเรื่องความร่ำรวยของคนส่วนใหญ่นั้นมักจะคิดกันไปว่า… คนที่รวยต้องทุจริต หรือโกงกิน เพื่อให้ได้มาซึ่งความร่ำรวย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มีคนที่ร่ำรวยได้โดยไม่ต้องโกงกิน เป็นความร่ำรวยโดยสุจริต ยกตัวอย่างเช่น วอเรนต์ บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลก ที่รวยจากการลงทุน ซึงเขาเคยมีสินทรัพย์มากเป็นอันดับสองของโลก การลงทุนของวอเรนต์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องทุจริต และตัวเขาเองก็เป็นคน “พอเพียง” ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่าแม้ตนเองจะมีเงินมากมาย… คนที่จะร่ำรวยได้มักจะมองหา “วิธีการ” จากคนที่ประสบความสำเร็จ และนำมาปรับใช้กับตนเอง แทนที่จะมองว่าคนรวยต้องโกงมาเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นทัศนคติที่ “บดบัง” ความสำเร็จของหลายๆ คนครับ (ส่วนคนที่รวยเพราะคดโกง เราไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างไม่ว่ากรณีใดๆ นะครับ)

 

“คนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่เรื่องอดีต แต่คนรวยมักคิดถึงเรื่องอนาคต”

ลองสังเกตคนรอบข้างเราดูว่า… คนรอบข้างเรานั้นคุยกันเรื่องอะไร คิดถึงเรื่องอะไรกันบ้าง หากเราสังเกตดูดีๆ เราจะพบคนที่คุยแต่อดีตที่ผิดพลาด คุยแต่ความโชคร้ายของตนเอง และคิดถึงแต่อดีตที่ไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้ว ผิดกับคนที่ประสบคามสำเร็จมักจะคิดถึงอนาคตที่รออยู่เพื่อการตัดสินใจต่างๆ คิดถึงโปรเจคใหม่ๆ คิดถึงการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อให้เงินนั้น “งอกเงย” เพราะการที่เรามัวแต่จมอยู่กับอดีตนั้นมันทำให้เราสูญเสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ แทนที่จะคิดถึงอดีตที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว หันกลับมาคิดถึงอนาคตที่เราสามารถกำหนดเองได้จะดีกว่าครับ

 

“คนส่วนใหญ่มองเงินผ่านอารมณ์ แต่คนรวยมักมองเงินผ่านหลักการ และความเป็นไปได้”

คนรวยมักจะศึกษาวิธีการทำให้เงินงอกเงย เช่น การทำธุรกิจ การลงทุน โดยจะศึกษาผ่านหลักการต่างๆ เพื่อที่จะนำหลักการนั้นๆ มาวางแผนที่จะกลายเป็น “โอกาส” ในการลงทุน คิดแบบมีเหตุมีผล กลับกันกับคนส่วนใหญ่ (ที่ไม่รวย) มักจะคาดฝันเงินที่ได้มาโดยง่ายๆ เงินที่ได้มาจากการเดินทางลัด คิดถึงแต่อารมณ์ความรู้สึก และชอบฝันลมๆ แล้งๆ โดยไม่มองหาโอกาสที่เราสามารถกำหนดเองได้ด้วยตนเอง

 

“คนส่วนใหญ่มักได้รับเงินจากการทำงานที่ตนเองไม่ชอบ แต่คนรวยมักทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แล้วได้เงิน”

คนปกตินั้นดูเหมือนจะต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อให้ได้เงิน (active income) แต่คนส่วนน้อยมักจะเริ่มต้นจากการค้นหาสิ่งที่ตนเองรัก และชอบ และประยุกต์ใช้มันเพื่อทำเงิน งานที่คนรวยมักจะทำมีทั้งงานที่ต้องออกแรงเพื่อให้ได้เงินมา หรือ active income และงานที่ไม่ต้องออกแรงก็มีเงิน passive income แต่งานทุกชิ้นต้องมาจากความรัก ความชอบ หากได้ทำงานที่ไม่ถนัดก็จะมองหาจุดที่ชอบ ทำให้สนุก แล้วเงินจะตามมาเองครับ

 

“คนส่วนใหญ่มักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำเพื่อไม่ให้เจ็บตัว แต่คนรวยนั้นมักพร้อมสำหรับการท้าทายใหม่ๆ เสมอ”

ทัศนคตินี้มีความสำคัญต่อความสำเร็จของคนที่ร่ำรวยมากๆ ครับ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะ “คิดเล็ก” ก็คือไม่กล้าฝันไกล ไม่กล้าฝันใหญ่ ผิดกับคนรวยที่เป็นคนส่วนน้อย มักจะ “คิดใหญ่” คือ กล้าฝันไกล กล้าฝันใหญ่ แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากการแค่คิดใหญ่เพียงอย่างเดียวนะครับ ความสำเร็จต้องเกิดจากการลงมือทำ และตั้งใจจริงด้วยครับ

“คนธรรมดามักคิดว่าอยากรวย แต่คนรวยมักคิดว่าต้องเป็นอะไรซักอย่างถึงจะทำให้ตัวเองรวย”

คนที่รวยมักจะนำสิ่งที่ตัวเองเป็นมาเป็นจุดขายให้กับตัวเองในการทำงานหรือทำธุรกิจต่างๆ แต่คนธรรมดามักจะคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรซักอย่าง (ไม่ใช่เป็นอะไรซักอย่าง) โดยไม่สนใจว่าจะต้องทำอะไรบ้างที่อาจทำให้ตัวเองไม่มีความสุข และทำมันเพื่อเงิน ซึ่งเป็นทัศนคติที่ผิดพลาด เพราะคนที่จะประสบความสำเร็จ และร่ำรวยได้ ต้องทำงานที่ตนรักอย่างมีความสุขนั่นเองครับ

 

“คนธรรมดามุ่งไปที่การเก็บเงินอย่างเดียว แต่คนรวยมักมุ่งไปที่การได้รับเงินด้วย”

การที่จะได้รับเงินนั้นเป็นวิธีการที่เพิ่มความร่ำรวยให้มากขึ้น โดยคนรวยมักจะหาวิธีที่จะทำให้ได้รับเงินมากขึ้น เช่น การทำธุรกิจ การลงทุน คนรวยมักจะต่อยอดจากสิ่งที่ตนเองสนใจ นำมันมาสร้างโอกาส ในขณะที่ตนเองก็เก็บออมอย่างสม่ำเสมอ

 

“คนทั่วไปมักกดดันกับการใช้เงิน แต่คนรวยมักเข้าใจการใช้เงิน”

คนทั่วไปมักจะทุกข์เพราะเงินไม่พอใช้ เงินรายวัน เงินรายเดือน คนทั่วไปมักคิดอยู่แค่นั้น ผิดกับคนรวยที่เข้าใจการใช้เงิน และคิดแผนการใช้เงินเป็นรายปี รายสิบปี โดยเข้าใจถึงการหมุนเวียนของเงิน ไม่กดดันตนเองให้ใช้เงินอย่างอัตคัดจนเกินไป แต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือยจนไม่มีเงินเก็บเพื่อการลงทุนในระยะยาว

 

“คนจนมักอวดว่ารวย คนรวยไม่อวดว่ารวย”

ทัศนคติข้อนี้ทำให้คนรวย แตกต่างจากคนจนอย่างสิ้นเชิง คนที่ชอบอวดรวยส่วนใหญ่มักไม่ได้รวยจริง ผิดกับคนรวย มักไม่ชอบให้ใครรู้ว่าตนร่ำรวย แต่หมั่นเก็บออม สร้างความมั่นคง และรักษาเอาไว้อย่างสม่ำเสมอครับ

 

ทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือ “ทัศนคติแห่งความร่ำรวย” ที่ลุงยุทธ์ได้รวบรวมจากประสบการณ์ส่วนตัว และได้ถ่ายทอดให้กับผม คุณผู้อ่านลองสังเกตตนเองดูครับว่าเรามีทัศนคติทางการเงินแบบไหน “ร่ำรวย” หรือว่า “ยากจน” ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้องแล้ว โอกาส และความสำเร็จก็เหมือนอยู่ตรงหน้าเราแล้วล่ะครับ

(นายแว่นธรรมดา)

product naiwaen 03

เปิดรับสมัครสมาชิก

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดาครับ ใครยังไม่สมัครต้องรีบหน่อยนะครับ ของแถมล็อตนี้ใกล้หมดละครับ สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก

1 reply
  1. Si Sreesamai
    Si Sreesamai says:

    หุ้น IEC น่าสนใจหรือเปล่า มีคนบอกว่าให้ทุ่มให้เต็มไปเลย

Comments are closed.