ลงทุนอย่างปลอดภัยด้วยการ “วัดอุณหภูมิ SET”

50-stock 109 size by นายแว่นธรรมดาการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราควรหมั่นติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะบางเวลาตลาดหุ้นก็อาจอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจนเกินไป บางเวลาก็อุ่นกำลังพอดี และบางเวลาอาจจะร้อนจน “ปรอทแตก” หากเราลงทุนในช่วงที่อุณหภูมิเย็นจนเกินไปหุ้นก็จะไม่ร้อนแรง ราคาก็จะไม่ไปไหน หากเราลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนจนปรอทแทบแตก แบบนี้เราก็จะเกิดอาการ “ติดดอย” ยามที่อุณหภูมิตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ครับ แล้วเราจะวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ

HOT

[premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความเพิ่มเติม กรุณา”]

การวัดอุณหภูมิตลาดจากอัตราการทำกำไรของบริษัทในตลาด

หากเราวัดอุณหภูมิด้วยอัตราการทำกำไรของบริษัทในตลาดโดยรวม นักลงทุนต้องเข้าใจถึงแนวคิดที่ว่า “ราคาหุ้นถูกขับเคลื่อนด้วยกำไร” เสียก่อนครับ เพราะเหตุใดหุ้นจึงขึ้น เพราะเหตุใดหุ้นจึงลง นอกจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดแล้ว “กำไรของบริษัทจดทะเบียน” ก็เป็นหนึ่งใน “แรงขับ” ให้ตลาดเติบโตครับ

ผมจะขอยกตัวเลขสมมติของตลาดหุ้นเพื่ออธิบายแนวคิดของการวัดอุณหภูมิตลาดจากอัตราการทำกำไรของบริษัทดูนะครับ เมื่อเรามาดูกำไรที่ควรจะเป็นของบริษัทกว่า 500 บริษัทในตลาดหุ้นเราจะพบว่า กำไรที่บริษัทจดทะเบียนทำได้มากกว่า 8 แสนล้านบาทต่อปี (ตัวเลขสมมติ) นั้น อาจถือว่าเป็นกำไรปกติ สมมติว่าแต่ในปัจจุบันกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นปีปัจจุบัน นั้นมีนักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะอยู่ราว 7.5 แสนล้านบาทต่อปี คือ ต่ำเป้าไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ PE ของตลาดอยู่ราว 18 เท่า หากเราคิดคร่าวๆ หมายความว่าขนาดตลาดที่แท้จริงจะอยู่ราว 13.5 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ความจริงแล้วกำไรปกติของตลาดที่เคยทำได้อยู่ที่ 8 แสนล้านบาท ดังนั้นขนาดของตลาดควรจะเป็น 14.4 ล้านล้านบาท หมายความว่าตลาดโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่ปกติ

จากที่เราคิดคำนวณคร่าวๆ แบบนี้เราอาจสรุปได้ว่า… ตลาดยังไม่ร้อนแรงอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ทำให้ PE ตลาดหุ้นไทยดูสูงอาจเป็นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นทำได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามหากเราคิดในแง่ของความปลอดภัยก็ต้องถือว่าตลาดขึ้นมาพอสมควรบนพื้นฐานเศรษฐกิจโดยรวมแบบเดิม หากมีปัจจัยใหม่ๆ เช่น การขึ้นของอัตราดอกเบี้ยก็อาจส่งผลกระทบกับตลาดได้เหมือนกันครับ ยังไงก็ควรระมัดระวังไว้บ้าง

วัดจากผลตอบแทนเงินปันผลของตลาด

การวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นไทยจากผลตอบแทนเงินปันผลนั้น แนวคิดของเราควรจะนำผลตอบแทนตลาดหุ้นไปเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ หรือการลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ค่อนข้างจะ “แน่นอน” และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะหากให้นักลงทุน “เลือก” ที่จะเอาเงินไปวางในสินทรัพย์ใดๆ สิ่งที่นักลงทุนทั่วไปจะคิดพิจารณาก็คือ ผลตอบแทน กับ ความเสี่ยง นั่นเองครับ

ถ้าเราวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นด้วยผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดเราจะพบว่า ณ.ปัจจุบันผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดอยู่ราว 2.9% ถ้าปัจจุบันผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 3% หมายความว่าอุณหภูมิตลาดเริ่มอุ่นๆ แล้วล่ะครับ และถ้าเมื่อใดผลตอบแทนตลาดตกต่ำกว่า 2% นักลงทุนคงต้องเฝ้าระวังกันบ้างครับ

วัดจาก “ปริมาณการซื้อ-ขาย” ในตลาด

การวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นจาก “ปริมาณการซื้อ-ขาย” ในตลาดนั้นหลายคนอาจรู้สึกว่าน่าสนใจ และอาจจะคิดว่ามัน “แม่นยำ” ที่สุด วิธีการวัดก็คือนักลงทุนจะดู“ปริมาณการซื้อ-ขาย” ในตลาด หรือที่เรียกกันว่า “วอลุ่ม” (Volume) ของการซื้อขาย หากเราคิดเล่นๆ ว่าตลาดหุ้นบ้านเรามีขนาดตลาดอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท และมีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเฉลี่ย 5 หมื่นล้านบาท เราจะสามารถซื้อตลาดหุ้นทั้งตลาดโดยใช้เวลา 300 วัน หรือใช้เวลาเกือบปีในการซื้อตลาดหุ้นไทยให้หมดทั้งตลาด

สำหรับผมแล้วการใช้เวลาภายใน 1 ปี เพื่อซื้อสินค้าอะไรก็ตามด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือนนั้นก็เป็นอะไรที่ “พอรับได้” หมายความว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็น “พ่อบุญทุ่ม” ที่ต้องใช้เงินมากมายมหาศาลเพื่อซื้อของที่อยากได้มาอย่างรวดเร็ว แต่หากผมอยากได้มากๆ ผมทุ่มเงินมากขึ้น และใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่ผมอยากได้แล้ว แบบนี้อาจทำให้ผมรู้สึกว่า “หน้ามืด” มากเกินไปหน่อย มันก็คล้ายๆ กับการซื้อขายในตลาดหุ้นครับ หากเมื่อไรที่ “ปริมาณการซื้อ-ขาย” ในตลาดนั้นสูงมากจนใช้เวลาในการซื้อตลาดทั้งตลาดได้ภายในเวลาไม่กี่วันแบบนี้ถือว่า “อุณหภูมิร้อนฉ่า” โดยทั่วไปแล้วผมเข้าใจว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ควรจะถูกซื้อขายได้ภายในเวลาต่ำกว่า 200 วัน เพราะอาจเข้าข่าย “ซื้อมากจนเกินไป” ครับ

อย่างไรก็ตามผมไม่คิดว่าวิธีการวัดอุณหภูมิแบบไหนจะ “แม่นยำที่สุด” แต่นักลงทุนผู้ปลอดภัยควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนทุกครั้งที่ทำได้ครับ เพราะแนวคิดของพวกเรา (นักลงทุนผู้ปลอดภัย) ก็คือ ต้องปกป้องเงินต้น ป้องกันการขาดทุนก่อนที่จะคิดทำกำไรนั่นเองครับ

(นายแว่นธรรมดา)          

คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น และเทคนิคการลงทุนในหุ้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ผู้เขียนบทความไม่รับผิดชอบต่อความเสี่ยง หรือความเสียหายในการลงทุนของผู้รับข้อมูลนะครับ

[/premium]

เปิดรับสมัครสมาชิก

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดา “พวงกุญแจ นกฮูกนำโชค” สัญญาลักษณ์แห่งภูมิปัญญา และความโชคดีร่ำรวย สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก

owl naiwaen tammada