จับแนวการลงทุนในหุ้นจากข่าว กับนายแว่นธรรมดา… ข่าว “สถาบันชี้หุ้นไทยไร้ฟองสบู่”

เล่นหุ้นตามข่าว นายแว่นธรรมดา

(ที่มาข่าว BizWeek)

(บลจ.กรุงไทย) มองหุ้นไทยไม่ถึงขึ้นฟองสบู่ เชื่อตลาดหลักทรัพย์มีมาตรการดูแลหุ้นเก็งกำไรได้ ชี้ดัชนีหุ้นผันผวนแรง เพราะอยู่ระหว่างปรับฐานแต่ไม่แรง ส่วน “ชัย โสภณพนิช” ประเมินดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1700 จุด ด้านโบรกเกอร์เตือนต.ค.นี้ผันผวนหนัก เหตุปัจจัยต่างประเทศกดดันต่อเนื่อง

นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหารสายจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากมองปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าถือว่ายังมีแนวโน้มที่ดีหลังการเมืองนิ่ง ภาครัฐมีแผนขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจนเศรษฐกิจในปีหน้าก็มีแนวโน้มเติบโตที่ดีโดยบริษัทคาดว่าจะโตประมาณ 5% และมองเป้าหมายดัชนีในปีหน้าที่ประมาณ 1,680 จุด ที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในปีหน้าประมาณ 14 – 15 เท่า

การที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานและผันผวนในช่วงนี้เป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลักแต่ก็เชื่อว่าตลาดจะไม่ปรับฐานแรงที่ระดับ 1,550 จุด นี้ก็น่าจะรับเอาไว้อยู่ โดยนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเองก็อาจจะใช้เป็นจังหวะในการปรับพอร์ตหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาก็ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องเช่นกันตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา จนราคาหุ้นบางตัวเริ่มเต็มมูลค่าก็อาจจะมีการปรับพอร์ตกันบ้าง แต่เงินลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีคงจะมีทยอยเข้ามาลงทุนเรื่อยๆ เพราะในช่วงต้นปีที่สถานการณ์ในประเทศไม่ดีนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ก็กลัวและยังไม่ได้เข้าลงทุนรอจังหวะให้ตลาดปรับฐานอยู่ ดังนั้นเมื่อตลาดย่อตัวก็จะมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกันที่จะสนับสนุนตลาดเอาไว้อยู่… เราจะหาแนวทางการลงทุนจากข่าวดังกล่าวได้อย่างไรติดตามได้ในบทความนี้นะครับ

[premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความแบบเจาะลึกนี้กรุณา”]

วิเคราะห์การลงทุนจากข่าว

จากข่าวข้างต้นเราสามารถวิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนในบ้านเราได้อย่างไร? ถ้าเราวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดหุ้นไทย เราจะพบว่าตลาดหุ้นไทย ณ.ปัจจุบันมีพีอี หรือความถูก-แพงอยู่ในระดับ 15 เท่า หากเราพิจารณาให้ดีเราจะพบว่าตลาดหุ้นบ้านเราเริ่มอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงแล้วครับ แต่ความเป็นจริงแล้วความถูกแพงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนด้วยครับ หากเราดูตลาดหุ้นของประเทศที่มีความถดถอยทางเศรษฐกิจเราอาจจะพบว่าพีอีดูไม่แพง และน่าลงทุนมาก แต่ความจริงแล้วอาจเป็นตลาดที่ถดถอย และไม่น่าลงทุนก็ได้ แต่ในทางกลับกับหากเราพิจารณาตลาดที่มีพีอีค่อนข้างสูง เราสามารถตีความได้ว่าตลาดอาจอยู่ในช่วงเติบโต หรือตลาดร้อนแรงจนเกินไปก็ได้ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา

PE ตลาดโลก

 

ตลาดหุ้นไทยร้อนแรงเกินไปหรือยัง?

สำหรับผมแล้วเคยเขียนบทความเกี่ยวกับความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยไปแล้ว ความร้อนแรงของหุ้นไทยสำหรับผมจะดูที่ปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเป็นหลัก หากตลาดบ้านเรามีขนาดตลาดประมาณ 10 ล้านล้านบาท ความร้อนแรงในมุมมองของผมก็คือ เมื่อวันใดที่มีปริมาณการซื้อขายเกิน 7% (เจ็ดหมื่นล้านบาท) จะถือว่าพออุ่นๆ แต่เมื่อวันใดปริมาณการซื้อขายขึ้นถึง 10% (หนึ่งแสนล้านบาท) จะถือว่าร้อนแรงมาก เพราะปริมาณการซื้อขาย 10% ในหนึ่งวันมันหมายความว่าเราใช้เวลาแค่ 10 วันก็สามารถซื้อตลาดหุ้นไทยได้ทั้งตลาด แบบนี้ต้องเรียกว่าร้อนแรงจริงๆ ครับ

เงินต่างชาติ (เงินฝรั่ง) มีผลกับตลาดหุ้นอย่างไรบ้าง?

ถ้าเราดูข้อมูลย้อนหลังเมื่อปีที่แล้วเราจะพบว่า เงินต่างชาตินั้น “ไหลออก” จากบ้านเราไปมากเป็นหลักแสนล้านบาท ทว่าเงินที่ไหลกลับเข้ามานั้นแค่หลักหมื่นล้าน ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการก็คือ เงินไหลออกไปแล้วราว 1.2 แสนล้านบาท แต่ไหลกลับเข้ามาเพียง6 หมื่นล้านบาท หมายความว่ายังไหลเข้ามาได้เพียงครึ่งเดียวที่ไหลออก ถ้าใครสนใจเรื่องเงินไหลเข้า-ออก และนำมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อหุ้น ผมก็คงต้องบอกว่าช่วงนี้ก็เป็นจังหวะการสะสมหุ้นที่พอใช้ได้เลยครับ

สัดส่วนการถือหุ้นต่างชาติ

กลยุทธ์ที่ใช้ในยามนี้ควรจะทำอย่างไรดี?

กลยุทธ์ที่ผมใช้อยู่ก็คือ… “หุ้นดีต้องมีเรา หุ้นลงต้องมีเงิน”

โดยแนวคิด “หุ้นดีต้องมีเรา” … คือ แนวคิดของการถือหุ้นที่ดีในอนาคต หุ้นเหล่านี้ต้องเป็นหุ้นที่ถ้าเราไม่มีในอนาคตจะถือเป็นความผิดพลาดในการลงทุน หน้าที่ของนักลงทุนระยะยาวก็คือ ต้องซื้อและถือหุ้นที่ดีไว้ตราบเท่าที่มันยังดีอยู่ครับ

แนวคิด “หุ้นลงต้องมีเงิน” … คือ การบริหารจัดการสภาพคล่องส่วนบุคคล เมื่อหุ้นตกเราควรต้องมีเงินซื้อ ทยอยซื้อหุ้นดีๆ ที่หากเราไม่ซื้อตอนมันตกแล้วคือความผิดพลาดขั้นร้ายแรงของการลงทุนในหุ้นครับ

เมื่อผสมผสานสองแนวคิด… “หุ้นดีต้องมีเรา หุ้นลงต้องมีเงิน” เข้าด้วยกัน การลงทุนของเราจะเป็นการลงทุนในหุ้นที่ดี ในระยะยาว เมื่อเรายังทำงานอยู่ได้ ยังผลิต active income ผลิตกระแสเงินสดอยู่ได้ ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ก็ทำงานหาเงินมาซื้อหุ้นดี เก็บเงินไว้ซื้อหุ้นดียามราคาตก โดยไม่ต้องคอยเก็งกำไรรายวัน เวลาจะกิน จะใช้ ถ้าจำเป็นก็กิน ก็ใช้ แต่ถ้ายังไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องรีบให้รางวัลตัวเองครับ นำกระแสเงินสดที่เรายังมีแรงหามาได้ลงทุนในหุ้นที่เป็น “passive income” (เปลี่ยน active income จากการลงแรงทำงานในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ให้เป็น passive income ในหุ้นที่จะออกดอก-ปันผลให้เราในอนาคต) เมื่อเราหมดเรี่ยวแรงที่จะทำงานหาเงินแล้ว ในที่สุด “หุ้น” ที่เราลงทุนไปในระยะยาวก็จะกลับมาเลี้ยงเราเองครับ …(มองหาหุ้นดีลองคลิ๊กอ่านที่นี่ครับ http://www.naiwaen.com/?cat=9)

อย่างไรก็ตามเมื่อสองวันที่ผ่านมาตลาดหุ้นบ้านเราตกลงไปลึกสุดที่ 20 กว่าจุด แล้วกลับขึ้นมาปิดไปกว่า 17 จุด… ปัจจุบันกลับมาปิดบวกได้แต่ต่อจากนี้ไปก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่หุ้นจะตกได้อีก? จากเหตุการณ์ดังกล่าวผมเข้าใจว่าตลาดหุ้น ณ.ตอนนี้เริ่มปรับฐานแล้วครับแต่จะปรับฐานเป็นวันแรกหรือไม่ ยากที่จะคาดเดาครับ การปรับฐานครั้งนี้ผมคิดว่าหลายคนกำลังรอจังหวะ

โดยเฉพาะคนที่มีเงินสดอยู่มาก รอจะเข้าตลาดในช่วงนี้ เพราะที่ผ่านมา “เงินฝรั่ง” ออกไปจากตลาดหุ้นกว่า 1.2 แสนล้าน และเพิ่งกลับเข้ามาซื้อเพียงหลักหมื่นล้าน ถ้าผมคิดไม่ผิด “เงินฝรั่ง” ยังไม่เข้ามาเต็มที่ และน่าจะมีโอกาสที่จะเข้ามาในอนาคตครับ การปรับฐานครั้งนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะลงไปได้แค่ไหนใครมีกระสุนเตรียมพร้อม ย่อมได้เปรียบครับ… มองหาหุ้นดีที่เราต้องไม่พลาด มีแล้วจะมีความภาคภูมิใจในอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้า ถ้าต่ำกว่าพื้นฐานที่เราคำนวนไว้ ก็ทยอยสะสมครับ

อย่าลืมนะครับ… “หุ้นดีต้องมีเรา หุ้นตกต้องมีเงิน”

 (นายแว่นธรรมดา)

คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น และแนวทางการลงทุนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญานในการรับข้อมูลข่าวสารนะครับ

[/premium]

รับสมัครสามาชิกราย 3 ปี และราย 9 ปี รายละเอียดที่นี่เลยครับ http://www.naiwaen.com/?page_id=3131

owl with wing 588 size