แปลงหุ้นที่ 1 “จัดพอร์ตปลูกหุ้นให้รวย แบบผสมผสาน”

หากเปรียบเทียบกับหุ้นเป็นเหมือนต้นไม้ นักลงทุนที่คิดจะทำฟาร์ม “เพาะหุ้น” ต้องรู้จักประเภทของต้นไม้ที่เราจะทำการเพาะปลูกลงในแปลงที่เป็นพอร์ตหุ้นของเราก่อนครับ ต้นไม้แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่

ไม้ใหญ่  คือ หุ้นที่จะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาค หรือระดับโลก มีโอกาสจะกลายเป็น Super Stock

ไม้ยืนต้น คือ หุ้นที่จะเติบโตจนกลายเป็นบริษัทขนาดกลาง ที่มีความแข่งแกร่งระดับประเทศ หรือระดับภูมิภาค

ไม้ผล คือ หุ้นที่อิ่มตัวแล้ว มีการเติบโตต่ำ แต่มีปันผลสูง เหมาะสำหรับเก็บไว้เป็นแหล่งเสบียงเพื่อรับเงินปันผล

ไม้ล้มลุก คือ หุ้นที่พลิกฟื้นกลับจากขาดทุน กลับมาเป็นกำไร และต้องเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

ไม้สงวน คือ หุ้นที่มีการเติบโตไม่หวือหวา แต่มีทรัพย์สินแฝงรอการ “ปลดล็อก” เช่นที่ดินทำเลดีๆ หรือสินค้าคงคลังที่มีมูลค่ามหาศาล

พืชหมุนเวียน คือ หุ้นที่มีความเป็นวัฏจักร แต่ก็ยังสามารถเติบโตได้เรื่อยๆ หากหุ้นประเภทนี้มีแววที่จะลดความเป็นวัฏจักรลงได้ก็จะดีมากๆ ครับ

หลังจากที่เราทำความเข้าใจกับ “พันธุ์พืช” แต่ละประเภทกันแล้ว เราลองมาจัดพอร์ตเพาะปลูกหุ้นลงในแปลงเกษตร หรือพอร์ตหุ้นคุณค่าของเราครับ พร้อมแล้วลุยเลย!

[premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความเพิ่มเติม กรุณา”]

เงื่อนไขในการจัดพอร์ต (แปลงหุ้นผสมผสาน)

พอร์ตหุ้นสวนผสมที่ผมจำลองขึ้นมานี้เราจะใช้เงินเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาทโดยจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้น 5 ตัว 5 ประเภท ซึ่งเริ่มต้นการจัดพอร์ตลงทุนตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน (2014) เป็นเวลาราวๆ 2 ปีกว่าครับ หลักการที่ใช้จัดพอร์ตก็คือ ต้องลงทุนในหุ้น 5 ประเภท ต้องกระจายความเสี่ยง และต้องการผลตอบแทนอย่างน้อยปีละ 10-15% ต่อปี โดยไม่ได้นำเงินมาลงทุนทบต้นเพิ่มเข้าในพอร์ต หมายความว่า เราจัดพอร์ตแบบให้หุ้นโตตามธรรมชาติ เรามาดูกันครับว่าหน้าตาของพอร์ตตามเงื่อนไขที่ว่ามาจะเป็นอย่างไร

หุ้นที่เราเลือกเข้ามาในพอร์ตมีทั้งหมด 5 บริษัท ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) ไมเนอร์ (MINT) รถไฟฟ้าใต้ดิน (BMCL) แม็คโคร (MAKRO) และ ซีพีเอฟ (CPF) เรามาดูเหตุผลในการเลือกหุ้นแต่ละตัวกันครับ

โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH)

หุ้นตัวนี้ถือเป็น “ไม้ใหญ่” อย่างแท้จริงครับ เร็วๆ นี้กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพฯ นั้นติดอันดับ 1 ใน 5 ของเชนโรงพยาบาลขนาดใหญ่ระดับเอเชีย แนวทางการขยายธุรกิจมาจากการควบรวมกิจการ ซึ่งใช้เงินทุนจากการออกหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้กระแสเงินสดจากโรงพยาบาลที่เข้าไปควบรวมด้วยเข้ามาเสริมทัพ โรงพยาบาลที่อยู่ในเครือก็ถือเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และมีทำเลที่ตั้งที่ดีมากครับ (อ่านรายละเอียดหุ้น BGH คลิ๊กที่นี่เลย) ทำให้หุ้นตัวนี้มีแววก้าวเข้าสู่ระดับโลกได้ไม่ยากครับ

ไมเนอร์ (MINT)

หุ้นตัวนี้เกี่ยวข้องกับโรงแรม เชนร้านอาหาร และร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ตัวนี้ถือได้ว่าเป็น “ไม้ยืนต้น” คือมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถกลายเป็นบริษัทขนาดกลาง (ค่อนไปทางใหญ่) ในระดับภูมิภาคอาเซียนได้ไม่ยากครับ การเติบโตก็จะเป็นไปตามเทรนด์การท่องเที่ยวที่มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ (ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยทะลุ 20 ล้านคนต่อปีไปแล้ว!) สำหรับ MINT นั้นกำไรเริ่มสวย คือ เป็นกำไรคุณภาพ เนื่องจากมีเชนโรงแรม ร้านอาหารอยู่มากพอที่จะเติบโตและมีความได้เปรียบหุ้นที่ทำธุรกิจคล้ายๆ กันครับ อ่านรายละเอียดเพิ่ม MINT คลิ๊กที่นี่เลยครับ

รถไฟฟ้า (BMCL)

หุ้นตัวนี้ถือเป็น “ไม้ล้มลุก” คือ ต้นไม้ที่ใกล้ตายแล้วกลับมาพลิกฟื้นได้ หากเราสังเกตดีๆ จะพบว่า “วิวของกรุงเทพ” นั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก ในปัจจุบันการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตคนเมือง และการขยายตัวของเมืองนั้นมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะพลิกกลับมากำไรถือว่ามีสูงมากครับ รายละเอียด BMCL คลิ๊กที่นี่เลยครับ

แม็คโคร (MAKRO)

หุ้นตัวนี้ผมขอจัดไว้เป็น “ไม้สงวน” เนื่องจากมีทรัพย์สินแฝงที่เป็นที่ดินเป็นจำนวนมาก แต่แม็คโครเองก็มีการเติบโตแบบ “ปานกลาง” เช่นกันครับ เพราะมีการขยายสาขาอยู่เรื่อยๆ แต่มักจะต้องลงทุนซื้อที่ดิน ทำให้เติบโตไม่รวดเร็วเท่าที่ควร แต่หากบริษัทนำที่ดินมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ก็จะ “ปลดล็อก” มูลค่าออกมาให้นักลงทุนอย่างเราได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ครับ รายละเอียด MAKRO เพิ่มเติมคลิ๊กอ่านที่นี่ครับ

ซีพีเอฟ (CPF)

หุ้นตัวนี้มีความเป็นวัฏจักรค่อนข้างมากจัดเป็น “พืชหมุนเวียน” ที่เราต้องเลือกช่วงจังหวะการลงทุนให้ดี และบางครั้งก็ต้องขายออกไปบ้างในยามที่ได้ราคาดีๆ ครับ แต่ข่าวดีก็คือ ความเป็นวัฏจักรของซีพีเอฟ เริ่มลดลง เนื่องจากบริษัทได้หันมาจับตลาด “อาหารทานง่าย” มากขึ้น สำหรับรายละเอียด CPF คลิ๊กอ่านที่นี่ครับ

จัดสรรเงินลงทุนในฟาร์มหุ้นสวนผสม

หลังจากเราเลือกหุ้นได้แล้วก็ทำการแบ่งเงินลงทุนเริ่มต้นออกเป็น 5 ส่วน ที่ ไม้ใหญ่ 25% ไม้ยืนต้น 25% ไม้ล้มลุก 20%  ไม้สงวน 20% และ พืชหมุนเวียน 10% ทำให้เราได้หน้าตาพอร์ตลงทุนหุ้นสวนผสมดังนี้ครับ

พอร์ตการลงทุนแบบสวนผสมจำลองที่เราได้จัดกันออกมา เริ่มต้นลงทุนในปี 2012 จนถึงปีปัจจุบัน 2014 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท รวมระยะเวลาในการลงทุน 2 ปี 7 เดือน ได้ผลตอบแทนกลับมากว่า 69.65% หรือเกือบ 1 เด้ง (100%) ครับ!! ประเด็นก็คือแม้เราจะกระจายการลงทุนในหุ้นแต่ละประเภท เราก็ควรมองเรื่องของ “การเติบโต” เอาไว้เสมอครับ เปรียบเหมือนเวลาเราปลูกต้นไม้เราก็ต้องอยากเห็นมันเติบโต ความจริงแล้วหุ้น CPF นั้นหดตัวลงด้วยซ้ำ เพราะความเป็นวัฏจักรที่ค่อนข้างมากของหุ้นตัวนี้ แต่ผมเข้าใจว่า CPF กำลังปรับตัว และลดความเป็นวัฏจักรลง และจะดีขึ้นในอนาคตครับ

ข้อสรุปของการจัดพอร์ตหุ้นแบบสวนผสม

การจัดพอร์ตแบบสวนผสมอย่างง่ายที่แสดงตัวอย่างไปผลลัพธ์ถือว่าไม่เลวทีเดียวใช่มั้ยล่ะครับ แค่เราเลือกหุ้นให้ถูกตัว และปล่อยให้เวลาทำให้หุ้นเติบโตตามธรรมชาติ แต่เวลาเราลงทุนจริงๆ มันไม่ง่ายแบบนี้ นักลงทุนจึงควร “กระจายความเสี่ยง” ไม่ทุ่มลงทุนมากๆ กับหุ้นไม่กี่ตัว ควรกระจายการลงทุนอย่างน้อย 5 ตัวเหมือนพอร์ตจำลองที่เราได้จัดมาเป็นตัวอย่าง และควรมองการเติบโตของหุ้นประกอบด้วยครับ อย่างน้อยที่สุดพอร์ตการลงทุนของเราก็ควรมีหุ้นที่มีแววจะเป็นหุ้นระดับโลก หรือสามารถเติบโตเป็นไม้ใหญ่ติดพอร์ตไว้บ้าง ส่วนหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นวัฏจักรควรมีในสัดส่วนที่น้อยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตามพอร์ตการลงทุนหุ้นแบบสวนผสมนี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงนะครับ หุ้นที่ผมเลือกมาผมเองก็ลงทุนอยู่ทุกตัวครับ ไว้มีแนวทางการจัดพอร์ตแบบสวนผสม (แปลงต่อๆ ไป) ที่น่าสนใจ และทำได้ไม่ยากจะนำมาแชร์ให้พิจารณากันอีกนะครับ

(นายแว่นธรรมดา)     

คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น และเทคนิคการลงทุนในหุ้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ผู้เขียนบทความไม่รับผิดชอบต่อความเสี่ยง หรือความเสียหายในการลงทุนของผู้รับข้อมูลนะครับ

[/premium]

“เปิดรับสมัครสมาชิก”

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดา “พวงกุญแจ นกฮูกนำโชค” สัญญาลักษณ์แห่งภูมิปัญญา และความโชคดีร่ำรวย สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก