รู้ทันหุ้น “เมกะเทรนด์” … “เมกะเทรนด์ในบ้านเรามีอะไรบ้าง”

การลงทุนในธุรกิจ หรือแม้แต่ในตลาดหุ้น สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญก็คือ แนวโน้มของผู้บริโภค หรือกระแสความนิยมของคนในสังคมยุคปัจจุบัน และอนาคต หรือเรียกกันติดปากว่า “เมกะเทรนด์” นั่นเองครับ… เพราะหากเราลงทุนในหุ้นที่ยังคงอยู่ใน “กระแสความนิยม” หรืออยู่ในเทรนด์ แม้จะมีปัญหาอุปสรรคด้านเศรษฐกิจการเมืองไปบ้าง แต่ทว่า… เมื่อปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปแล้ว หากพฤติกรรมผู้บริโภคยังอยู่… ธุรกิจก็จะกลับมาได้ในที่สุดครับ… เราลองมาดูกันดีกว่าว่าเทรนด์ทั้งหลายในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้มีอะไรกันบ้างครับ…

mega trend 02

[premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความนี้กรุณา”]

เทรนด์แรก “คนต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น”

 อะไรก็แล้วแต่ที่มันดีกับตัวเอง ตรงไหนที่มีความสะดวกสบายคนจะไปที่นั้น คนจะกลับเข้ามาในเมืองมากขึ้น เป็นสังคมเมืองมากขึ้น ความสะดวกสบาย เทคโนโลยี ที่ติดตัวเราไปตลอดเวลาครับ ลองสังเกตผู้คนรอบๆ ตัวเรา สิ่งของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกให้เรามากขึ้น ทั้งในบ้าน ในรถยนต์ ในสถานที่ๆ เราไป … ถ้าสังเกตดูดีๆ จะพบว่าทุกอย่างเริ่ม “สมาร์ท” หรือมีความอัจฉริยะมากขึ้น ในรถยนต์เริ่มเปลี่ยนจากเครื่องเสียงธรรมดาๆ กลายเป็นจอแบบอัจฉริยะ โทรศัพท์จากธรรมดาๆ กลายเป็นสมาร์ทโฟน ทีวีที่บ้านก็เริ่มฉลาดขึ้นเรื่อยๆ หากเรามองเห็นกระแสเหล่านี้และคิดว่ามันจะเป็นต่อไป ก็จะช่วยนักลงทุนอย่างเราในการเลือกลงทุนในหุ้นตามกระแสไม่ตกเทรนด์ได้ครับ

 เทรนด์ที่สองผู้หญิงจะมีบทบาทมากขึ้น”

คำว่าผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นนั้น สำหรับผมแล้วหมายถึง… ผู้หญิงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ (ในบ้านเรานะครับ) และมีแนวโน้มจะมากกว่าผู้ชาย และเป็นโสดกันมากขึ้น พึ่งพาตนเองมากขึ้น มีบทบาทในสังคมมากขึ้น ไม่ง้อผู้ชาย และที่สำคัญผู้หญิงเป็นนักจับจ่ายตัวยง … ดังนั้นอะไรก็ตามที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ผมกล่าวมาของผู้หญิง ผมคิดว่ามันมีน้ำหนักที่มากพอที่จะ “เขย่า” ตลาดได้เลยครับ … ถ้าไม่เชื่อลองถามคุณผู้หญิงดูนะครับ

 เทรนด์ที่สาม “ขนาดจะมีความสำคัญมากขึ้น”

ขนาดในเชิงของประเทศ ก็คือประเทศที่มีประชากรเยอะจะมีความสำคัญกับเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น กรีซ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน บังคลาเทศ อียิปต์ ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แต่สำหรับบ้านเราที่อัตราการเกิดของประชากรกลับ “ลดลง” นั้นผมคิดว่าไม่เป็นปัญหาในระยะสั้นครับ… เพราะเรายังมีประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีจำนวนประชากรที่มากพอที่จะบริโภคสินค้าและบริการจากบ้านเรา

นอกจากนั้นในเรื่องของขนาดก็ยังเกี่ยวข้องกับการที่บริษัทใหญ่เทคโอเวอร์บริษัทเล็กเพื่อทำให้บริษัทใหญ่มีศักยภาพมากขึ้น ส่วนบริษัทเล็กได้ส่วนต่างราคาไป แบบนี้เรียกว่าเกิดการ win-win ของทั้งสองบริษัท แต่การที่เราคิดจะลงทุนโดยจับโอกาสการควบรวมกิจการนั้นเราต้องศึกษาให้ดีนะครับ เพราะหากเป็นการควบรวมที่ไม่ดีก็จะเกิดปัญหาตามมาทีหลัง แต่หากเป็นการควบรวมที่ทำให้เกิด “แรงเสริม” แบบนี้จะเข้าท่ากว่าครับ

 เทรนด์ที่สี่ “เศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วจะโตช้า”

จากภาพรวม ณ. ตอนนี้ที่ประเทศที่พัฒนาแล้วพยายามอุ้มตัวเองไม่ให้ตาย พยายามรักษาตนเองให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น… สหรัฐ ยุโรป เหมือนหมอพยุงคนป่วย เลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตาย แต่เอเชียจะดูดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามภาพที่เกิดขึ้นจากนี้ไปแม้สหรัฐอเมริกาจะดูดีขึ้น แต่ก็จะยังคง “โตช้า” เพราะค่าแรงในประเทศที่พัฒนาเหล่านี้ค่อนข้างสูงมากๆ ทำให้การลงทุนทำธุรกิจนั้นไม่คุ้มค่า จึงไม่เกิดธุรกิจใหม่ๆ ขนาดย่อมๆ ที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เท่าที่ควร … ผิดกลับประเทศในแถบเอเชียที่จะ “โตเร็ว” กว่าในอดีต แม้จะต้องสะดุดบ้างกับการเติบโตที่อาจจะรวดเร็วจนเกินไป แต่ในภาพใหญ่แล้วเอเชียยังคงน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งครับ

 เทรนด์ที่ห้า “การเติบโตในประเทศที่กำลังพัฒนา”

การเติบโตในประเทศที่กำลังพัฒนาจะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเทศเรากำลังน่าสนใจ พวกก่อสร้างกำลังดีเพราะนโยบายภาครัฐ, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สังคมเมืองกำลังขยาย ส่งออกไปลาว เขมร พม่า ประเทศเพื่อนบ้านเราโตขึ้นเรื่อยๆ สินค้าไทยคือสินค้าแบรนด์เนมของเขา ท่องเที่ยวดี retail ดี โรงพยาบาลดี… อย่างไรก็ตามาด้วยปัญหาทางการเมืองที่ทำให้เราสะดุดอยู่ในช่วงนี้ในมุมมองของผมคือ “โอกาสอันดี” ที่จะล้างเอาระบบเก่าๆ ระบบการโกง “คอรัปชั่น” ให้หมดไปจากประเทศไทย ต้องถือโอกาสนี้ “ซักล้าง” ประเทศให้สะอาดปราศจากนักกินเมือง ล้างระบบมาเฟียทางการเมือง แบบเก่าๆ ที่ยึดโยงเอาแต่ “ท่านประธาน” เป็นหลักออกไป… ทำให้นักการเมืองยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง แม้จะเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และก่อให้เกิดนโยบายที่สร้างความเสียหายอย่าง “ร้ายแรง” … ถ้าทำได้บ้านเราก็จะเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนคุ้มค่าเงินภาษีของประชาชนอย่างแท้จริงครับ

 เทรนที่หก “ความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน”

ความจริงแล้วเราเห็นค่อนข้างชัดเจนว่า… อาหาร และพลังงานต่างปรับตัวสูงขึ้นมาก ค่าครองชีพที่เคยถูกในอดีตปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่า… ปรับตัวแบบ “อัตราเร่ง” ก็คงไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงครับ… การที่อาหาร และพลังงานปรับตัวสูงขึ้นย่อมทำให้ค่าครองชีพสูงตาม และเป็นเมกะเทรนด์ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดครับ

เทรนด์ที่เจ็ด “กำลังการบริโภคจะมากขึ้น คนมีรายได้มากขึ้น”

ประเทศที่มีแรงงานเยอะจะเจริญขึ้นเร็วมาก แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะโตช้ามากหรือถดถอย เพราะหากเราสังเกตดูดีๆ จะพบว่าแม้แต่ตัวเราเองที่ทำงานประจำเงินเดือนจะต้องปรับขึ้นทุกปีอย่างน้อย 5-10% ทำให้ความมั่งคั่งส่วนบุคคลสูงขึ้นแบบ “ทบต้น” ทุกๆ ปี… แต่ในทางกลับกันประเทศที่ค่าครองชีพสูง ประชากรมีอัตราเงินเดินที่สูงแล้ว… ตัวอย่างชัดเจนคือ ญี่ปุ่น ยุโรป อยู่ไปอย่างนั้นไม่โต เพราะมันอิ่มตัวแล้วนั่นเองครับ

 เทรนด์สุดท้าย “สังคมผู้สูงอายุ”

ปัจจุบันบ้านเราเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้วนะครับ โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุในบ้านเราเริ่มเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่ารักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ อาหารการกินเสริมสุขภาพ พี่เลี้ยงผู้สูงอายุ สถานที่ต่างๆ ที่ต้องเหมาะสมกับผู้สูงอายุ และผมคิดว่าเทรนด์นี้เป็นเทรนด์ที่ชัดเจนที่สุดครับ

ลองพิจารณาเทรนด์ต่างๆ ของประเทศเรา รวมทั้งของประชากรโลกดูครับ เราจะมองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น… ทำให้การลงทุนของเราถูกที่ถูกทางมากขึ้น ไม่หลงเทรนด์ หรือตกเทรนด์ และทำให้ประสิทธิภาพของการลงทุนเติบโตตามเทรนด์ได้ในระยะยาวครับ… (นายแว่นธรรมดา)

[/premium]

เปิดรับสมัครสมาชิก

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดาครับ ใครยังไม่สมัครต้องรีบหน่อยนะครับ ของแถมล็อตนี้ใกล้หมดละครับ สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก

product naiwaen 03

แนะนำเว็บไซค์สำหรับคนอยากมีบ้านหลังแรก และต้องการมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

http://www.topofliving.com/ (โดยนายแว่นธรรมดา เช่นเคยครับผม)

logo-topofliving2