รู้ทันหุ้นจากข่าว : เปรียบเทียบ MAKRO กับ BIGC แบบเข้าใจง่ายๆ

เปรียบเทียบ MAKRO กับ BIGC

จากข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา : บริษัท ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น หรือทีซีซี กรุ๊ป ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีชาวไทย จะเข้าซื้อหุ้น 58.6% คาสิโนกรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของฝรั่งเศส ที่ถือหุ้นในบิ๊กซี ด้วยราคา  252.88 บาทต่อหุ้น รวม 3,460 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.24 แสนล้านบาท (คำนวณตามอัตรา 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 36 บาท)

หากเราย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่เจ้าสัวซีพีซื้อ MAKRO ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.88 แสนล้านบาท ณ.ตอนนั้น MAKRO ตอนขาย มีมูลค่า 1.88 แสนล้านบาท เท่ากับ 24 เท่าของกำไรขั้นต้น

สำหรับดีลของ บิ๊กซี ตอนขาย มีมูลค่าราว 2  แสนล้านบาท เท่ากับ 15 เท่าของ EBITDA ปี 2558 ถ้าเทียบกับแม็คโครแล้วก็ต้องถือว่าเสี่ยเจริญได้บิ๊กซีมาในราคาที่ไม่แพง การซื้อธุรกิจที่ 15 เท่าของกำไรขั้นต้น ก็เท่ากับได้ yield 6% กว่า ถ้าเพิ่มทุนกับผู้ถือหุ้น หรือแม้แต่กู้มาซื้อ ก็เหมือนได้มาแบบต้นทุนต่ำมากๆ

เราลองมาเปรียบเทียบ BIG C กับ MAKRO กันว่าสองธุรกิจนี้มีดีมีได้แตกต่างกันอย่างไร

หากเปรียบเทียบข้อมูล ณ.ปลายปี 2558 เราจะพบว่า ขนาดกิจการของบิ๊กซีนั้นใหญ่กว่าแม็คโครพอสมควร กว่าห้าหมื่นล้านบาท รายได้ที่บิ๊กซีทำได้น้อยกว่าแม็คโครราวๆ หมื่นกว่าล้านบาทต่อปี อัตราการทำกำไรสุทธิน้อยทั้งคู่เนื่องจากเป็นธรรมชาติของกิจการในรูปแบบนี้ แต่ตัวบิ๊กซีที่เป็นกิจการค้าปลีกมีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าแม็คโครที่เป็นกิจการค้าส่ง

ตัวเลขทางการเงิน ส่วนตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นหรือ ROE บิ๊กซี และแม็คโครทำได้ดีเกินกว่า 15% ในขณะที่หนี้สินของกิจการทั้งสองค่อนข้างน้อย มีแต่หนี้สินการค้าซึ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียนเท่านั้น เปรียบเทียบความถูกแพงหรือ PE จะเห็นได้ว่าบิ๊กซีมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับแม็คโคร

มุมมองด้านคุณภาพของกิจการ

สำหรับแม็คโครนั้นเป็นกิจการค้าส่งที่แทบจะไม่มีคู่แข่ง และมีการเติบโตทุกปี จำนวนสาขายังมีไม่ครบทุกจังหวัดในประเทศไทย เจ้าสัวซีพีซื้อแม็คโครก็สามารถใช้เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าไก่สด หมูสด และสินค้าอื่นๆ ของซีพีได้ แม้ราคาที่ซื้อมาจะสูงมาก และไปกดดัน CPALL ให้มีหนี้สินสูงขึ้น แต่มันอาจจะ “คุ้มค่า” ในมุมมองของผู้ซื้อก็ได้ครับ

สำหรับดีลของบิ๊กซีนั้นแตกต่างจากแม็คโคร ตรงที่บิ๊กซีเป็นธุรกิจค้าปลีก ที่มีสาขา และคู่แข่งค่อนข้างสูง มีการแข่งขันกันพอสมควร โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง เทสโกโลตัส และไม่แน่ใจว่าธุรกิจค้าปลีกประเภท Discount Store แบบนี้มาถึงจุดที่เติบโตอย่างช้าๆ หรืออิ่มตัวหรือยัง ในแง่ของตัวเลขอาจดูว่าซื้อมาในราคาไม่แพง แต่ถ้าดูการเติบโตแล้วต้องวัดกันยาวๆ ในอนาคตนะครับ

สำหรับนักลงทุนระยะยาวคงต้องพิจารณาให้ดีว่าการซื้อกิจการของทั้งสองเจ้าสัวเหมาะสมหรือไม่ แต่ถ้าดูราคา ณ.ปัจจุบัน เราซื้อกันตอนนี้ก็ถือว่าซื้อได้ถูกกว่าเจ้าสัวเหมือนกันนะครับ

อย่างไรก็ตามข้อดีหลักๆ ของบิ๊กซีก็คือ มีการตั้งงบการลงทุนแต่ละปีไม่สูงมาก เนื่องจากไม่ค่อยมีการปรับปรุงสาขาเท่าไร (ตัดงบในส่วนนี้ไปได้มากโข) หากเราสังเกตดีๆ จะพบว่าห้างบิ๊กซีแทบจะเดิมๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร และมีพื้นที่ให้เช่าเป็นจำนวนมาก แถมกำไรใกล้เคียง หรือบางทีดีกว่าการค้าปลีกที่เป็นแกนหลักอีกด้วยครับ

#‎แนะนำหนังสือออกใหม่‬ “กลยุทธ์ลงทุนหุ้น ลงทุนน้อยให้ได้กำไรงาม”

กลยุทธ์ลงทุนหุ้น ลงทุนน้อยให้ได้กำไรงาม : บอกเล่ากลยุทธ์การลงทุนในหุ้น ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนี้ เนื้อหาประกอบด้วยแนวคิดการลงทุนในหุ้น และเจาะลึกหุ้นรายตัว ในสไตล์นายแว่นธรรมดา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ นักลงทุนระยะยาว-นักออมหุ้น และนักเก็งกำไรหุ้น

กลยุทธ์ที่ 1 กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนมือใหม่ (ทำน้อยแต่ได้มาก)