รู้ทันหุ้น “Demand และ Supply ในตลาดหุ้น”

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน… มาถึง ณ.ตอนนี้ตลาดหุ้นบ้านเราก็ขึ้นมาทำจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า [premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความนี้กรุณา”]”ความต้องการล้นเหลือ” หรือ demand สูงขึ้นจากการที่มีเงินไหลเข้าจากต่างประเทศ อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากมาตราการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE ของอเมริกา และการผ่อนคลายทางการเงินของอีกหลายประเทศ ยุโรป ญี่ปุ่น

จับจังหวะการลงทุนเมื่อมีความต้องการล้นเหลือขนาดนี้ ตลาดหุ้นบ้านเราที่เคยมีปริมาณหุ้นที่จำกัด หรือ supply จำกัด ต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ลองเดาดูซิครับว่าตลาดบ้านเราจะตอบสนองอย่างไร…

สิ่งที่ตอบสนองออกมาก็คือ ประการแรก… ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่มใหญ่ๆ ที่เป็นเมกะเทรนด์ในยุคนี้ ราคาต่างก็เดินหน้าทำ New High เป็นว่าเล่น และประการต่อมาก็คือการมีหุ้นน้องใหม่หรือหุ้น IPO เข้าตลาดอย่างมากมาย จากแต่เดิมที่แทบจะไม่มีหุ้นใหม่เข้าตลาด กลับกลายเป็นว่ามีหุ้นใหม่เข้าตลาดตกอาทิตย์หนึ่งหลายตัวเลยล่ะครับ แบบนี้ก็เรียกได้ว่าเหล่านักค้าส่งหุ้นน้องใหม่ และนักลงทุนในตลาดต่างก็สนุกสนานคึกคักกันมากทีเดียว นักลงทุนที่ไม่ประมาทควรทำการบ้านวิเคราะห์หุ้นที่สนใจอย่างรอบคอบ และระมัดระวังที่สุด

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า… เมื่อมีหุ้นเข้าใหม่มากๆ เข้า supply ในตลาดก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว ตราบใดที่ปริมาณความต้องการซื้อหุ้นหรือ demand ยังล้นเหลือตลาดบ้านเราก็ยังคงจะเดินหน้าต่อไป เราอาจได้เห็น New High ใหม่อีกเรื่อยๆๆๆๆๆๆ จนถึงจุดอิ่มตัวในที่สุด

จุดอิ่มตัวที่ว่าอาจเป็นไปได้ว่าเกิดหุ้นน้องใหม่ในปริมาณมาก อัตราการเข้าใหม่ของหุ้นมากเกินกว่าปริมาณความต้องการซื้อหุ้น หรือ over supply แบบนี้ก็เตรียมตัวกันได้ล่ะครับ หรืออีกสาเหตุก็อาจเกิดจากเงินทุนจากต่างประเทศไหลออกไปหาแหล่งใหม่ที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าบ้านเรา ซึ่งจะทำให้ demand ลดลงอย่างรวดเร็ว แล้ว supply ที่เหลือล่ะจะทำยังไง ก็เตรียมตัวระเบิดน่ะซิครับ!!!

ที่ผมกล่าวมาก็เป็นหลักการพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ถ้ามีนักลงทุนที่เน้นถือยาวๆ อยู่ในตลาดเยอะๆ ผมเข้าใจว่าโอกาสจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันย่อมมีน้อยกว่าการที่ในตลาดบ้านเราเต็มไปด้วยนักลงทุนระยะสั้นๆ (ซึ่งก็เป็นแบบนี้เสียมากกว่าครับ) อย่างไรก็ตามการลงทุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเราไม่ควร “ประมาท” ด้วยประการทั้งปวง ควรใช้ “สติ” กำกับการลงทุนอย่าให้ความโลภเข้าครอบงำ เพราะหากความโลภบังตาแล้ว เราเองนั่นแหละครับที่อาจจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของเสือ สิงห์ ทั้งหลายในตลาด…

โดยส่วนตัวแล้วผมยังเข้าใจว่าเราไม่ควรตื่นตระหนก หรือประมาทจนเกินไป เพราะถ้ายังมีความรู้สึกกลัวมากกว่ากล้าในตลาดก็แสดงว่าตลาดบ้านเรายังไม่เต็มไปด้วยความประมาท ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ก็พอเข้าใจได้ว่าดัชนีจะยังคงไปต่อได้ครับ… และผมก็หวังลึกๆ ว่านักลงทุนในบ้านเราจะเป็นนักลงทุนระยะยาวกันมากขึ้น เพราะจะช่วยลดความผันผวนของตลาดให้มีความมั่นคงขึ้น แม้แต่อาจารย์ใหญ่ วอเรนต์ บัฟเฟตต์ ก็ยังเคยถือหุ้นข้ามวิกฤตมาแล้วเช่นกันครับ… ถ้าเราไม่ใช่นักคาดเดาตลาด และลงทุนบนพื้นฐานของธุรกิจแบบนี้วางใจได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ

ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน ลงทุนด้วยความรอบคอบ และประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจเอาไว้นะครับ

(นายแว่นธรรมดา)

[/premium]