(เจาะหุ้นวีไอ ไม่เสี่ยง) รีวิวหุ้น JAS หุ้นสื่อสาร หุ้นแห่งอนาคต?

หุ้นที่ต้องบอกว่า “ร้อนแรง” ณ.ขณะนี้ตัวหนึ่งก็คือ JAS ที่ทำให้นักลงทุนหลายท่านต้องเจ็บตัว ติดดอยกันมากมาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้น คือความผันผวนของราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ รายวัน แต่ในระยะยาวหุ้นสื่อสารโทรคมนาคมตัวนี้ยังมีอนาคตอยู่หรือไม่ เราจะมาหาคำตอบกันครับ…

[premium level=”1″ teaser=”no” message=”หากต้องการอ่านบทความเพิ่มเติม กรุณา”]

โครงสร้างธุรกิจของ JAS

JAS ประกอบธุรกิจบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโดยมีรายรับจากธุรกิจนี้ราวๆ 80-85% ของพอร์ต นอกจากนั้นยังทำธุรกิจบริการโครงข่ายโทรคมนาคมอีก 10-11% และทำธุรกิจจัดหา ออกแบบ วางระบบสื่อสารโทรคมนาคม 3-5% และธุรกิจตึกให้เช่าอีก 1% จากโครงสร้างเราจะเห็นชัดเจนว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 3BB โดยมีลูกค้าอยู่ประมาณ 1.8 ล้านราย คิดเป็นรายรับ 12,411.19 ล้านบาท ทำกำไรได้ 3,270.86 ต่อปี คิดเป็นกำไรสุทธิราวๆ 25% ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีรายได้ค่อนข้างแน่นอน และกำไรดีมากครับ

กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน JASIF

กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน JASIF มีมูลค่าราว 6-7 หมื่นล้านบาท สินทรัพย์ที่จำหน่ายเข้ากองทุน ได้แก่ โครงข่ายใยแก้วนำแสง 6.7 หมื่นคอร์กิโลเมตร Access Node 1,800 จุด และมี Cable เชื่อมโยงลูกค้าประมาณ 1.6-1.8 ล้านราย ถือเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ใหญ่โตทีเดียวครับ โดย JAS หรือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)      ถือหุ้นอยู่ 1,833,150,000 หุ้น คิดเป็น 33.33%

ข่าวการเข้าประมูลคลื่นความถี่ 4G จาก กสทช.

มีนาคม 2558 JAS ประกาศเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 4G จาก กสทช. โดยทางบริษัทได้ตั้งงบลงทุน 2.5-3.5 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ ใช้เป็นเงินค่าประมูล และเงินลงทุนโครงข่ายที่น่าจะเช่าเสาจาก TOT หรือ TRUEIF ครับ โดยธุรกิจใหม่จะเน้นให้พัฒนาอินเตอร์เน็ตบนมือถือเป็นหลัก แหล่งที่มาของเงินจะนำมาจากการขาย JASIF ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และเงินร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศอีก 1 หมื่นล้านบาท (อยู่ในระหว่างเจรจา) ซึ่งข่าวเรื่อง 4G นั้นถือว่ายังไม่เกิดขึ้นนะครับ หากมีความคืบหน้าผมจะนำมาแจ้งให้ทราบกันครับ

ความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับ JAS

สำหรับ JAS แล้ว ราคาพื้นฐานน่าจะอยู่ประมาณ 5-6 บาทต่อหุ้น (ความคิดเห็นส่วนบุคคล) แต่ราคาถูกดันไป 8-9 บาทเพราะขายกองทุน JASIF ที่มีมูลค่าราว 7-8 หมื่นล้าน ทำให้ Jas มีกำไรพิเศษเข้าบริษัทประมาณ 4-5 บาทต่อหุ้น แต่ก็ต้องเจียดเงินไปซื้อกองทุน 33.33% โดยใช้เงินไปประมาณ 2-3 บาทต่อหุ้น ทำให้ระยะสั้นราคากลับมาที่ 5-6 บาท และกำไรเดิมที่เคยทำได้ปีละกว่า 3000 ล้าน ก็อาจจะขยับขึ้นได้ไม่มากเพราะต้องเสียค่าเช่าโครงข่ายให้กับ JASIF และถ้าต้องการขยายฐานลูกค้า FTTx* ก็ต้องลงทุนเพิ่มอีก ทำให้กำไรต่อหุ้นอาจจะขยับยาก ยกเว้นลูกค้าโตเท่าตัว ปัจจุบันลูกค้า 1.8 ล้านราย ถ้าขยับไปซัก 2.5 ล้าน ก็มีโอกาสที่กำไรจะกลับไปที่ 3000 – 3200 ล้านบาท และน่าจะทำให้ Market Cap ขยับเป็น 5-6 หมื่นล้าน โดยที่ Market Cap ยังไม่รวมไดลูทของวอร์แรนต์ (ถ้ามี) น่าจะไม่เกินกว่านี้ภายในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ อย่างไรก็ตามหากผ่านช่วงลงทุนไปแล้ว JAS ก็จะกลับมาได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ยังไม่ได้รวมประเด็นของการประมูล 4G ที่ต้องไปวัดกันอีกทีว่าจะประมูลได้หรือไม่ครับ (เป็นกำลังใจให้นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นตัวนี้ทุกท่านครับ) …

นายแว่นธรรมดา

*FTTx สุดยอดเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ‘มีสาย’ ความเร็วสูง

FTTH ย่อมาจากคำว่าไฟเบอร์ทูเดอะโฮม (Fiber to the Home) หมายถึงการนำสายใยแก้วนำแสง ส่งตรงถึงบ้านของลูกค้า (ปกติแล้วสายประเภทนี้ มีใช้กันอยู่แล้วภายในองค์กร หรือ ระหว่างองค์กร กับ องค์กร) ซึ่งคุณภาพ และความเร็วในการ รับ-ส่ง สัญญาณ สูงกว่าสายโทรศัพท์ธรรมดาที่เราใช้กันในระบบเอดีเอสแอล หลายร้อย-พันเท่า ซึ่งตัวเลขความเร็วที่ทางผู้ผลิตสายกล่าวถึงนั้น สามารถขึ้นได้สูงเป็นกิกะบิตต่อวินาที (Gbps) กันเลยทีเดียว

ซึ่ง FTTH นั้นความจริงชื่อกลางของมันคือ FTTx คำว่า x นั้นเป็นตัวย่อที่บ่งบอกถึงสถานที่ ที่สายใยแก้วนั้นไปถึง หากไปถึงบ้าน ก็จะเรียกว่า FTTH (Home) ไปถึงตึกจะเรียกว่า FTTB (Building) ไปถึงสำนักงานจะเรียกว่า FTTO (Office) เทคโนโลยี FTTx ถูกใช้งานในหลากหลายประเทศแล้วไม่ว่าจะเป็น อเมริกา เกาหลี จีน และที่ถูกใช้งานอย่างมากที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งราคาเมื่อเทียบกับ ADSL แล้วมีราคาแพงกว่าประมาณ 30% (ในปัจจุบัน) สำหรับในประเทศไทย เทคโนโลยีนี้มีเข้ามา 3-4 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้งานอย่างจริงจัง แต่ว่ามีการทดสอบกันอย่างจริงจังในบางพื้นที่แล้ว

การใช้งานระบบ FTTx นั้นเราจะไม่สามารถใช้งานสายโทรศัพท์ปกติเหมือนเอดีเอสแอล เพราะต้องส่งสัญญาณผ่านใยแก้วนำแสงดังนั้นหากจะใช้งานจริงจำเป็นต้องมีการวางระบบโครงข่ายใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยเริ่มตั้งปัจจัยพื้นฐานของอุปกรณ์ตั้งแต่ สายนำสัญญาณ รวมไปถึงอุปกรณ์ รับ-ส่ง สัญญาณนั้นต้องใช้ใหม่ทั้งหมดเช่นกัน

ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ในทุกวันนี้นับวันมีความเร็วสูงขึ้นทุกวัน ผู้เสพข่าว หรือ ข้อมูล ความคาดหวังย่อมต้องสูงขึ้นไปตามลำดับด้วย โดยจะมานำเสนอเพียงแค่ ข้อความอย่างเดียว (Plain Text) หรือ รูปภาพ (Graphic) กันเหมือนสมัยก่อนไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เรามีเอดีเอสแอล (ADSL) จะเห็นได้ว่า มีเว็บไซต์ผู้ให้บริการด้านการนำเสนอสื่อทางภาพและเสียง ออกมามากมาย อาทิ ยูทูบ (Youtube) เฟซบุ๊ก (Facebook) และอื่น ๆ ที่ให้ผู้ใช้งานทั่วไป สามารถผลิตเนื้อหาเองได้ง่าย ๆ การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมาก สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในส่วนมุมมองของผู้ผลิตเนื้อหา เราต้องทำเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้นไป มีคุณภาพมากขึ้น โดยอาจเน้นไปที่คุณภาพการตัดต่อ ความคมชัดของภาพสูงแบบเฮชดี เพราะเดี๋ยวนี้ลูกค้าไม่ได้เสพเนื้อหาจากเราเพียงฝ่ายเดียวแล้ว ลูกค้ายังสามารถผลิตเนื้อหาเอง และส่งหาซึ่งกันและกันได้อีกด้วย แต่ส่วนมากอัดจากสมาร์ทโฟน ซึ่งการแข่งขันก็ต้องสูงขึ้นไปตามลำดับ

หากใช้เทคโนโลยี FTTx แล้ว มันจะไม่ใช่เพียงสามารถแค่ดูคลิปวิดีโอสั้น ๆ 5-10 นาทีบนยูทูบอีกต่อไปแล้ว แต่จะสามารถดูรายการโทรทัศน์ผ่านโทรทัศน์จริง ๆ (ไม่ได้ผ่านจอคอมพิวเตอร์) ดูกันออนไลน์ 24 ชั่วโมง โดยไม่มีติดขัด นอกจากนี้ ยังมีระบบทีวีออนดีมานด์ ให้ผู้ชมสามารถเลือกรับรายการโทรทัศน์ที่ตัวเองต้องการดูได้อีกด้วย

คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น การลงทุนรูปแบบต่างๆ และเทคนิคการลงทุนในหุ้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ผู้เขียนบทความไม่รับผิดชอบต่อความเสี่ยง หรือความเสียหายในการลงทุนของผู้รับข้อมูลนะครับ

[/premium]

“เปิดรับสมัครสมาชิก”

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีเพื่ออ่านบทความเจาะลึกหุ้นก่อนใครแบบ Exclusive อ่านรายละเอียดการสมัครที่นี่ครับ http://www.naiwaen.com/?page_id=3131 โดยสมาชิกจะได้รับหนังสืออีบุ๊กส์ฟรี 1 เล่มจาก “ร้านหนังสืออีบุ๊กส์ นายแว่นธรรมดา” มีหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน การทำธุรกิจส่วนตัว ให้เลือกซื้อแล้วนะครับ สำหรับสมาชิก 9 ปี ดาวน์โหลดหนังสือฟรี 1 เล่มครับ… เข้าไปดูวิธีการสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ครับ

http://naiwaenstore.com/store/how-to-order/