กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : หาหุ้นทำเงินสไตล์ VI
หาหุ้นทำเงินสไตล์VI
จากประสบการณ์การลงทุนมาหลายปี ในช่วงปีแรกๆ ของการลงทุนของผมนั้น มีทั้งขาดทุน และกำไรสลับกันไป โดยส่วนใหญ่จะหนักไปทาง “ขาดทุน” แต่พอมาช่วงปีหลังๆ ภาพของการลงทุนนั้นสลับกัน ผมมักจะกำไรมากกว่าที่จะขาดทุน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
จากการที่ผมมานั่งวิเคราะห์ตัวเอง พบว่า… แนวคิดการลงทุนส่วนตัวของผมนั้น “เปลี่ยนไป” วิธีการเปลี่ยนไปทั้งหมดเรียกว่า หน้ามือเป็นหลังมือ ตั่งแต่เริ่มต้นการเล่นหุ้นในวันแรกเลยทีเดียว แนวคิดก็คือ …
ประการแรก “หาหุ้นลงทุน”
วิธีการหาหุ้นลงทุนของผมก็มีหลากหลาย ตั้งแต่หาหุ้นจากข่าว จากในเว็บบอร์ด จากการสังเกตสิ่งรอบตัว ฯลฯ แต่โดยปกติแล้วผมมักจะหาหุ้นจากการสังเกตสิ่งรอบตัวมากกว่าวิธีอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันรถติดมาก ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ต้องเดินทางไปทำงานในเมือง ต้องโดยสารรถสาธารณะ หรือขับรถยนต์ส่วนตัว ต่างก็ปวดหัวกับรถติด ทำให้การเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าน่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคต เนื่องจากกำหนดเวลาเดินทางได้ค่อนข้างแน่นอน ประกอบกับคนส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อบ้านในเขตใจกลางเมืองได้แล้วต้องขยับขยายออกมาซื้อบ้านชานเมือง และก็หวังว่ารถไฟฟ้าจะช่วยทำให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้น แบบนี้เราก็พอรู้แล้วว่า… อนาคตหุ้นรถไฟฟ้าน่าจะ “สดใส”
ประการที่สอง “เลือกหุ้นมากลุ่มหนึ่ง”
เมื่อเราหาหุ้นลงทุนได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การเลือกหุ้นลงทุน ด้วยการเลือกหุ้นมาเปรียบเทียบกัน ยกตัวอย่างต่อเนื่องเช่น “หุ้นรถไฟฟ้า” นั้น ในตลาดหุ้นของเรามีสองตัว ได้แก่ BTS และ BEM สำหรับการลงทุนเราต้องเข้าใจธรรมชาติของกิจการเสียก่อน
BTS เป็นรถไฟฟ้าบนดินที่วิ่งในใจกลางเมืองเป็นหลัก ดังนั้น Traffic หรือจำนวนผู้โดยสารจึงมีแนวโน้มที่จะมากกว่ารถไฟฟ้านอกเขตใจกลางเมือง และด้วยความที่แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม และแหล่งทำงาน หรือ Office นั้นจะอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก ทำให้ผู้โดยสารเกือบครึ่งเป็นชาวต่างชาติ หลากหลายภาษา และมักไม่ค่อยเกี่ยงค่าโดยสาร เนื่องจากนักท่องเที่ยวก็มาเที่ยวชั่วคราว (ขาจร) สำหรับนักธุรกิจก็เป็นผู้ที่มีรายได้ค่อนข้างสูง
BEM สำหรับ BEM เป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน และเร็วๆ นี้ (เดือนสิงหาคม 2559) จะเปิดใช้บริการรถไฟฟ้าบนดินสายสีม่วง เราก็ต้องเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าของ BEM นั้นเป็นกลุ่มคนทำงาน ที่อาจจะคำนึงถึงค่าโดยสารค่อนข้างเป็นประเด็น “สำคัญ” เนื่องจากต้องใช้บริการบ่อยแทบทุกวัน และด้วยความเป็นรถไฟฟ้านอกเขตใจกลางเมืองทำให้จำนวนผู้โดยสารจะน้อยกว่าของ BTS อย่างไรก็ตามอนาคตที่ใจกลางเมืองขยายออกไปมากขึ้น ก็จะทำให้อนาคตของ BEM มีจำนวนผู้โดยสารมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อเราเปรียบเทียบลักษณะธุรกิจของทั้งสองตัวแล้ว เราก็ต้องทำความเข้าใจ และเลือกหุ้นลงทุน หากเป้าหมายของเราเป็นการลงทุนระยะยาว ก็ควรคิดวิเคราะห์แยกแยะออกมา แต่ส่วนประกอบของกิจการออกมาพิจารณาให้รอบด้าน เพราะหุ้นรถไฟฟ้าไม่ได้มีแต่การเก็บค่าโดยสารเพียงอย่างเดียว ยังมีพื้นที่บนสถานีรถไฟฟ้าให้เช่า พื้นที่โฆษณาบนสถานี แม้แต่อู่ซ่อมบำรุงรักษารถไฟฟ้าก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่งด้วยนะครับ
ประการที่สาม “ประเมินมูลค่าหุ้นก่อนซื้อ”
เมื่อเราได้หุ้นจากการเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสีย ออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ “การประเมินมูลค่าหุ้น” วิธีที่ใช้ก็มีหลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นที่เราลงทุน สำหรับผมวิธีที่ชอบใช้ก็คือ EV/EBITDA
วิธีนี้ทำได้โดยการหามูลค่าของกิจการทั้งหมด (EV) ออกมาเสียก่อน ด้วยสูตรต่อไปนี้
EV = Market Cap + หนี้สิน – เงินสด
วิธีการนี้หมายความว่าหากเราต้องซื้อกิจการทั้งบริษัทเราต้องใช้เงินเท่าไร โดยดูจากขนาดของกิจการ ณ.ขณะนั้น หรือ Mcap รวมเข้ากับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด หักออกด้วยเงินสดๆ ที่บริษัทมี ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท A มีขนาดกิจการ Mcap 1,000 ล้าน มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 500 ล้าน มีเงินสดในบริษัท 100 ล้าน
EV = 1,000 + 500 – 100 = 1,400 ล้าน
หากกิจการนี้มีกำไรขั้นต้น หรือ EBITDA = 400 ล้านบาท
EV/EBITDA = 1,400 / 400 = 3.5 เท่า
สำหรับค่า EV/EBITDA เราสามารถประเมินคล้ายกับ PE แต่แทนที่เราจะใช้กำไรสุทธิ เรากลับใช้กำไรขั้นต้นมาเทียบกับขนาดกิจการทั้งหมดแทน ยิ่งค่านี้มีสัดส่วนที่น้อยยิ่งดี เกณฑ์ที่ผมใช้เสมอมาก็คือหากค่า EV/EBITDA ต่ำกว่า 10 เท่าถือว่ากิจการนี้มีราคาไม่แพง ในกรณีที่เราคำนวณได้ถือว่าราคาถูกมาก และถ้า EV/EBITDA นิ่งในปัจจุบันถือเป็น “โอกาส” ในการเก็บสะสมหุ้นรอวันที่ค่า EV/EBITDA จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตนั่นเอง
ประการที่สี่ “กำหนดกลยุทธ์เข้าซื้อหุ้น”
เมื่อเราได้หุ้นในกลุ่มที่ต้องการลงทุน นำมันมาเปรียบเทียบกับหุ้นหลายๆ ตัว และประเมินราคาเข้าซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การกำหนดกลยุทธ์เข้าถือหุ้น
หลายคนอาจจะคิดว่า… ถ้าเรารู้ราคาเป้าหมายแล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์อะไรเลย แต่ความเป็นจริงก็คือ เป้าหมายราคาที่ราคำนวณเอาไว้อาจผิด หรือราคาไม่ลงมาให้เราซื้อ และสุดท้ายเราก็ตกรถ ไม่ได้ซื้อในราคาที่ควรจะซื้อ สำหรับผมแล้ว แม้เราจะคำนวณราคาเป้าหมายที่จะซื้อเอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ควรมี “กลยุทธ์” ในการเข้าซื้อด้วย
กลยุทธ์ที่ผมนิยมใช้ก็คือ “การแบ่งไม้ซื้อ” ผมมักจะแบ่งไม้ซื้อหุ้นออกเป็นอย่างน้อย 3 ไม้ สมมติว่าผมต้องการซื้อหุ้นตัวหนึ่งให้ครบ 1 แสนหุ้น ผมก็จะแบ่งไม้ซื้อออกเป็นสามไม้ ดังนี้
- ไม้แรก 25,000 หุ้น เมื่อราคาใกล้เคียงราคาที่คำนวณเอาไว้ทั้งขาขึ้น และขาลง โดยไม้แรกผมจะซื้อเพื่อเป็นไกด์ บางครั้งผมยังแบ่งไม้แรกออกเป็นไม้ย่อยๆ อีก 2-3 ไม้ ซื้อทุกครั้งเมื่อราคาขยับลง ลงก็ทยอยซื้อไปเรื่อยๆ จนหมดไม้ สาเหตุที่ผมทำแบบนี้เป็นเพราะ หากราคาหุ้นไม่ลงไปตามเป้าที่วางเอาไว้ผมก็ยังมีหุ้นติดมือไปขายตอนราคาขยับถึงจุดที่ควรขายนั่นเอง
- ไม้สอง 25,000 หุ้นเมื่อราคาขยับลงมาถึงราคาเป้าหมายที่คำนวณเอาไว้ หากเราโชคดีราคาขยับลงไปถึง Target Prize ที่คำนวณเอาไว้เราก็อัดทีเดียวในไม้สอง และรอดูว่าราคาจะขยับไปทิศทางใด (ไม่จำเป็นต้องอัดเต็มทีเดียว)
- ไม่สุดท้าย 50,000 หุ้น หากราคาเริ่มกลับเป็นขาขึ้น เมื่อเราถือหุ้นไปซักระยะพอราคาเริ่มปรับตัวขึ้น บางครั้งเราสามารถใช้กราฟดูสัญญาณ “ขาขึ้น” ประกอบด้วย ผมจะอัดไม้สุดท้ายทีเดียว และถือให้กำไรมันขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อรอขายที่ราคาเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม… กลยุทธ์การซื้อหุ้นนั้นเป็นปัจเจกบุคคล หมายความว่า เราควรมีกลยุทธ์การเข้าซื้อหุ้นตามแต่สไตล์ของเราเอง และไม่ใช่กฎตายตัวแต่ประการใด ไว้ในช่วงหลังๆ เราจะพูดคุยกันมากขึ้นในการณ์นี้
ประการที่ห้า “หาจังหวะขายหุ้น”
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายก็คือ “การขายหุ้น” เพราะหุ้นที่ดีมันอาจไม่ดีตลอดไป จังหวะการขายที่ดีสำหรับผมคือ เมื่อเราได้กำไรราว 50% ขึ้นไป หรือกำไรที่เราพอใจ และเราไม่คิดจะลงทุนระยะยาวตั้งแต่แรก ก็ควรขายทำกำไร
แต่หากเราคิดจะลงทุนระยะยาว … เราต้องดูพื้นฐานของหุ้นประกอบการตัดสินใจ เมื่อพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน เราสามารถถือไปเรื่อยๆ จนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน บางครั้งผมก็ถือหุ้นตัวหนึ่ง 3-5 ปี ก็มีครับ
ยกตัวอย่างเช่นหุ้นรถไฟฟ้า… ตราบใดที่ยังมีคนใช้รถไฟฟ้าโดยสารเดินทาง และมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ผมก็ยังไม่ขาย บางทีอาจต้องถือเป็นมรดกให้ลูกก็เป็นไปได้เหมือนกันครับ อิอิ…
สรุปว่า… การหาหุ้นลงทุนนั้นขั้นแรกๆ จะยากที่สุด เราควรหาหุ้นพื้นฐานดีๆ ไม่ใช่หุ้นปั่น และควรมีความประสงค์ว่าจะทำกำไร หรือจะลงทุนยาวๆ ตั้งแต่ตอนตัดสินใจซื้อหุ้น เพื่อให้เราสามารถกำหนดกลยุทธ์เข้าซื้อ และขายออกได้เหมาะสมตามเป้าประสงค์ที่เราตั้งเอาไว้นั่นเองครับ ๑naiwaentammada
#หนังสือน่าอ่าน เจาะหุ้น VI เกาะกระแสเมกะเทรนด์
กระแสเมกะเทรนด์ในยุคใหม่มีอะไรบ้าง และเราจะลงทุนอย่างไรให้เกาะไปกับกระแส เพื่อไม่ให้ตกรถ หนังสือเล่มนี้จะบอกเล่าประสบการณ์ลงทุนในหุ้น จะทำให้คุณไม่ต้องเสี่ยงกับหุ้นที่เราไม่รู้จัก และปลอดภัยจากการลงทุนได้มากขึ้นอย่างแน่นอนครับ
บทนำ “จุดเริ่มต้นของการลงทุนแนววีไอ”
บทที่ 1 เลือกหุ้นอย่างไรให้ปลอดภัย
บทที่ 2 เจาะหุ้นเหล็ก
บทที่ 3 ยุคแห่งพลังงานสะอาด และเมกะเทรนด์โรงไฟฟ้า
บทที่ 4 บทเรียนหุ้นพลังงานทดแทน
บทที่ 5 เจาะแก่นหุ้นเล็กโตไว
บทที่ 6 วีไอซื้อหุ้นต้องดูอะไรบ้าง?
บทที่ 7 ประสบการณ์ลงทุนหุ้นโภคภัณฑ์
บทที่ 8 ประสบการณ์ลงทุนหุ้นรถไฟฟ้า และหุ้นคอนโดมิเนียม
ติดตามได้ที่นี่เลยครับ “คลิ๊กเพื่อเข้าสู่หนังสือ”
อ่านหุ้นที่เกี่ยวข้อง และหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ “คลิ๊กเลย”
อ่านทุกเรื่องราวของความสำเร็จที่คุณทำได้อย่างแน่นอน “คลิ๊กอ่านที่นี่”
อ่านหนังสือเสริมความรู้ #ลงทุนหุ้นให้โตเร็ว : ปัญหาของนักลงทุนหุ้นโตเร็วก็คือ มองหุ้นโตเร็วไม่ออก มองภาพใหญ่ไม่ชัดเจน และจัดพอร์ตไม่เป็น ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ “ลงทุนหุ้นให้โตเร็ว” ติดตามได้ที่นี่เลยครับ
#ช่องทางการติดตามข้อมูล#นายแว่นธรรมดา
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการติดตามข้อมูล โดยเฉพาะสมาชิกเว็บ www.naiwaen.com ท่านสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ [email protected]
หรือเข้าไปติดตามบทความในรูปแบบคลิ๊ปเสียงที่ https://www.youtube.com/channel/UCcQxvgiObaaA2DI3UOqrXZw
เพื่อนๆ ยังสามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดที่บล็อกพันทิป http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naiwaentammada(ปัจจุบันมียอดเพจวิวกว่า 3.1 ล้านวิว)
หรือยังไม่จุใจท่านยังสามารถเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกันที่นี่ครับ https://plus.google.com/u/0/118319315169248364407
สำหรับเรื่องราวของอสังหาริมทรัพย์… เพื่อนๆ สามารถเข้าไปหาข้อมูลที่ต้องการได้ที่นี่ www.topofliving.com
และเตรียมพบกับเว็บบอร์ดคุยเรื่องหุ้นเร็วๆ นี้นะครับ
ยินดีต้อนรับทุกท่าน อีโมติคอน grin
สำหรับ “นายแว่นธรรมดา” แล้วเราจะทำให้เพื่อนๆ ทุกท่าน
“มีชีวิตที่ง่าย และดี”
ขอแนะนำเว็บไซค์เกี่ยวกับบ้าน และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ www.topofliving.com