เจาะหุ้นวีไอไม่เสี่ยง : หุ้น TNR น้องใหม่ IPO กับอนาคตหุ้นโตเร็วที่น่าติดตาม

 หุ้น TNR น้องใหม่ IPO กับอนาคตหุ้นโตเร็วที่น่าติดตาม

ธีมการลงทุนสำหรับหุ้น IPO นั้นหลายคนคิดเพียงว่าได้หุ้นมาแล้วก็รีบขายทำกำไรตั้งแต่วันแรกๆ เพราะเข้าใจว่าหุ้นที่เพิ่งเข้าตลาดฯ ใหม่จะมีแรงเก็งกำไร และแรงซื้อขายเหล่านั้นจะค่อยๆ หมดไปเมื่อหุ้นตัวนั้นลดความร้อนแรงลง แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มีหุ้น IPO หลายตัวที่นอกจากจะไม่ลงแล้วยังขึ้นได้อย่างสวยงาม มีอนาคตสดใส และสามารถถือเพื่อลงทุนระยะยาวได้

สำหรับหุ้น TNR หรือบริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ สามารถติดตามเรื่องราวของบริษัทฯ ได้จากบทความนี้ครับ

TNR

ลักษณะการประกอบธุรกิจ

บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) มีรูปแบบการประกอบกิจการดังต่อไปนี้

  • ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch™ โดยบริษัทมีการผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ประเทศไทย กลุ่มประเทศ CLMV ประเทศอียิปต์ และยังมีแผนจะขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ยังไม่เคยเข้าไปจำหน่าย ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะกระจายสินค้าไปยังร้านค้าแบบสมัยใหม่และร้านค้าแบบดั้งเดิม ทั้งในและต่างประเทศ
  • ธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น (OEM) โดยบริษัทจะรับจ้างผลิตให้แก่บริษัทเอกชนและองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 ประเทศ ในทวีปต่างๆ เช่น เอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกา และตะวันออกกลาง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ทำสัญญารับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้กับลูกค้า United Medical Device ภายใต้เครื่องหมายการค้า PLAYBOY® ไปทั่วโลก และเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
  • ธุรกิจงานประมูล หรือ Tender โดยบริษัทฯ ประกอบธุรกิจงานประมูลที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อเติมเต็มการใช้กำลังการผลิตของบริษัท และลดต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วย โดยจะเข้าร่วมการประมูลงานผลิตถุงยางอนามัยกับองค์กรภาครัฐและเอกชน (NGOs) ทั้งในและต่างประเทศ โดยที่องค์กรเหล่านี้จะดำเนินการจำหน่ายและแจกถุงยางอนามัยไปตามภูมิภาคและทวีปต่างๆ ทั่วโลก

โดยปัจจุบัน บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ มีหุ้นที่ทำการเสนอขายให้แก่ประชาชนครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้จำนวน 37.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ อีกจำนวน 37.50 ล้านหุ้น รวมคิดเป็น 25% ของหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัทฯ

ภาพรวมของการประกอบกิจการถุงยางอนามัย

ในยุคสมัยนี้เรื่องการคุมกำเนิดไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไปแล้วครับ เราจะเห็นว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้นกว่าเดิม แม้จะไม่ถูกใจผู้ปกครองเสียเท่าไร แต่ก็เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรน้องๆ วัยรุ่นต้องคิดให้ดีก่อนทำอะไรลงไป นึกถึงจิตใจของผู้ใหญ่บ้างก็ดีนะครับ และทางเลือกหนึ่งของการป้องกันก็คือ การคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัย โดยการใช้ถุงยางอนามัยทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสินค้าประเภทที่ใช้แล้วทิ้ง จึงทำให้มีความต้องการสินค้าอย่างสม่ำเสมอ

ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 โรงงานของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,959 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจัดเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากที่สุดในประเทศไทยและเป็นรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทฯ มีโรงงานผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น 2 แห่ง ที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองและนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี

TNR การเติบโต

ภาพรวมการเติบโตของตลาดถุงยางอนามัยโลก โตเฉลี่ยกว่า 9.3% โดยในภาพเป็นการคาดการณ์การเติบโตเริ่มตั้งแต่ปี 2557 ไปจนถึงปี 2562

ความเสี่ยงของธุรกิจ

ดูเหมือนว่าธุรกิจที่ TNR กำลังทำเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง แถมยังเติบโตอย่างสม่ำเสมอ แต่ความจริงแล้วมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องพิจารณาดังต่อไปนี้

  • ความเสี่ยงจากการผลิต OEM ให้เจ้าใหญ่ โดย TNR ได้มีการทำสัญญาเพื่อรับจ้างผลิตกับเจ้าใหญ่ไม่เกินระยะเวลา 5 ปี แม้จะดูไม่ยาวมาก แต่ก็มีการต่อสัญญามาโดยตลอด และนั่นเกิดจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับคู่ค้านั่นเอง
  • ความเสี่ยงจากราคาน้ำยางปรับตัวสูงขึ้น โดยวัตถุดิบหลักในการผลิตถุงยางอนามัยก็คือ “น้ำยางธรรมชาติเข้มข้น 60 เปอร์เซ็นต์” โดยน้ำยางพาราที่ใช้ทั้งหมดมาจากในประเทศ TNR จึงมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตน้ำยางพาราในอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้หมดปัญหาเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบ อีกทั้งมีการจัดซื้อน้ำยางพาราล่วงหน้า ทำให้ TNR สามารถจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดีตลอดมา
  • ความเสี่ยงจากคุณภาพสินค้า การผลิตถุงยางอนามัยนั้น คุณภาพสินค้าถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากสินค้าด้อยคุณภาพจะเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมาได้ ทำให้ TNR มีการพัฒนาระบบควบคุมคุณภาพสินค้า และได้รับการพิสูจน์มายาวนานตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

โครงสร้างรายได้ของกิจการ

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามก็คือ โครงสร้างรายได้ของบริษัท เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของกำไรในบรรทัดสุดท้าย และจะถูกสะท้อนไปสู่ราคาหุ้นในที่สุด โดยโครงสร้างรายได้ของ TNR มีดังนี้

TNR รายได้

โครงสร้างรายได้หลักของ TNR มาจากธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น รองลงมาคือรายได้จากธุรกิจงานประมูล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch™ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท แถมยังเติบโตขึ้นทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่า 10% นั่นเป็นสัญญาณที่ดี เพราะถ้ารายได้เติบโตแบบนี้ทุกๆ ปี ขนาดของกิจการก็จะสามารถเติบโตเป็นสองเท่าได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปีตามสูตรการเติบโตแบบทบต้น หรือ Snow Ball Effect โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น (OEM) ที่เติบโตเฉลี่ย CAGR ร้อยละ 18.4 ในช่วงปี 2556-2558 และธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch™ เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.7 ในงวด 9 เดือน ปี 59 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการเริ่มจำหน่าย 003

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเจาะลึกเข้าไปที่โครงสร้างรายได้ย่อย ผมพบว่ารายได้จากงานประมูลก็มีสัดส่วนสูงมากครับ (ตามภาพ) โดยรายได้ส่วนนี้ในปี 2556-2557 คิดเป็นประมาณ 30-40% ของรายได้รวม และมองเห็นความไม่แน่นอนเล็กๆ ในปี 2558 ที่สัดส่วนรายได้จากการประมูลลดลง และนั่นคือความเสี่ยงที่จะทำให้หุ้นตัวนี้มีการแกว่งตัวในเรื่องราคาได้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสของนักเก็งกำไรที่คิดจะทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ คือซื้อตอนที่มีงานประมูลน้อยๆ เก็บไว้ขายในอนาคต

ข้อสรุปของการลงทุน

สำหรับหุ้น TNR นั้นถือเป็นหุ้นเติบโตที่มีอนาคต โดยแนวโน้มการเติบโตในภาพรวมจะเติบโตควบคู่ไปกับภาพการเติบโตของตลาดถุงยางอนามัยโลกที่จะโตกว่า 9.3% ที่สำคัญ ถ้ากิจการมีกำไรก็จะมีปันผลระหว่างทางเรื่อยๆ ธีมการลงทุนหุ้นอาจเน้นเป็นหุ้นเติบโตและหุ้นปันผลไปพร้อมๆ กัน

ความเสี่ยงของธุรกิจจะมาจากลูกค้าเจ้าใหญ่ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการขึ้นราคาของน้ำยางพาราที่เป็นวัตถุดิบที่จะใช้ผลิตสินค้า และความเสี่ยงเล็กๆ ที่เกิดจากความไม่แน่นอนของงานประมูลเพื่อผลิตสินค้า แต่ผมเข้าใจว่าไม่มี Impact มากมาย ขนาดทำให้กิจการต้องสะดุดครับ และแน่นอนที่สุดว่าเรื่องของถุงยางนั้นช่วยให้สังคมดีขึ้น เพราะสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยังช่วยป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร ซึ่งแม้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็ช่วยลดปัญหาสังคมให้กับประเทศ และโลกใบนี้ได้อย่างแน่นอน

phy