การลงทุนของมนุษย์เงินเดือน กับ “แก้วสามประการ (+1)”

หลังจากที่เราต่างก็เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย และเริ่มที่จะแยกย้ายไปตามทางของตน หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตทำงานคงจะรู้ดีว่ามันคือ “โลกใบใหม่” ที่แตกต่างจากโลกของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนที่เลือกที่จะทำงานประจำมักจะคิดในทางบวกว่าการทำงานประจำจะทำให้เรามีเงิน และเมื่อเรามีเงินก็จะนำเงินมาใช้จ่ายตามใจ อาจมีส่วนหนึ่งเหลือเก็บบ้าง และนำเงินที่เก็บไปต่อยอดให้มันงอกเงย

แต่ทว่าความเป็นจริงของชีวิตมันไม่ใช่เหมือนภาพวาดของศิลปินที่จะสวยงามอย่างที่เราคิดเข้าข้างตัวเอง ความเป็นจริงก็คือ เมื่อเราเริ่มมีเงินมาจับจ่ายใช้สอย เราก็เริ่มจะใช้มันมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาเรารู้สึกเครียดกับการทำงานเราก็อยากที่จะ “จ่าย” เพราะมันทำให้เรารู้สึกถึงอำนาจหลังจากที่โดนเจ้านายกดขี่ เราก็อยากจะระบายออกมาเป็นการซื้อของแพง การกินอาหารหรูๆ ที่หนักยิ่งกว่าก็คือเวลาเราไปเจอเพื่อนๆ ที่ทำงานที่อื่นๆ เวลานัดเลี้ยงรุ่นกัน ถ้าเราเห็นเพื่อนๆ มีรถดีๆ ขับ เราก็อยากมีบ้าง มีมือถือรุ่นใหม่ๆ เราก็อยากมีบ้าง ได้ไปเที่ยวต่างประเทศเราก็อยากจะไปบ้าง ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้การ “โอ้อวด” ผ่าน social network ทำได้รวดเร็วเท่ากับความเร็วแสง เรียกได้ว่า “กิเลสติดปีก” เร็วกว่าที่จิตใจเราจะตั้งสติได้ทันครับ

อย่างไรก็ตามอย่าลืมนะครับว่า “ภาพบน social network” ส่วนใหญ่จะถูก “ตกแต่ง” ให้ดูสวยหรู แต่ละคนย่อมเลือกเอามุมดีๆ ของชีวิตมาลงให้คนอื่นๆ ดู ดังนั้นเราไม่ควรหลงภาพเหล่านี้มากจนเกินไป หากเราหลงภาพเหล่านี้ทำให้เกิดความอยากได้-อยากมีขึ้นในใจ และถ้าเราไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เราก็เลือกที่จะ “ผ่อนจ่าย” นั่นคือจุดเริ่มต้นของการติดบ่วงที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนกำลังเป็นอยู่ครับ

salary man investment

แก้วสามประการของมนุษย์เงินเดือน

เรื่องที่ผมจะบอกเล่าเพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นลงทุนนั้นเป็นเรื่องจริงของมนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทของผม อายุกว่า 30 ปีแล้ว ที่ยังไม่เคยคิดจะเริ่มต้นลงทุนอะไรเลย ได้แต่ใช้เงินไปแบบเดือนชนเดือน ปัจจุบันก็มีหนี้สินที่เกิดจากการซื้อรถยนต์ และหนี้จากบัตรเครดิต เพื่อนของผมคนนี้มาปรึกษาผมเพราะรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีเงินเก็บ และไม่มีอะไรที่ “สุกสว่าง” ในชีวิตเลย ผมก็ได้แต่ปลอบใจ และให้กำลังใจ ผมบอกกับเพื่อนคนนี้ว่า… ให้ดูดีๆ แล้วจะพบว่าตัวเขาเองนั้นมีแก้วสามประการที่สุกสว่างอยู่ดังต่อไปนี้ครับ

แก้วดวงที่หนึ่ง “ครอบครัว”

เพื่อนผมคนนี้มีครอบครัวที่รัก และต้องดูแล ถือเป็นดวงแก้วที่ยังสุกสว่างอยู่ในชีวิตของมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ คนหนึ่ง บางคนอาจจะมองข้าม และไม่เห็นคุณค่า เนื่องจากเราได้พบกับคนในครอบครัวทุกวันจนกลายเป็นความ “เคยชิน” แต่ความเป็นจริงแล้วคนในครอบครัวมีความหมายเป็นอย่างมาก หากเรามีครอบครัวที่อบอุ่นรักกัน นึกถึงความสุขของครอบครัวก่อนความสุขของตนเอง ยึดถือคติว่า “ครอบครัวมีความสุข เราก็จะมีความสุขตามไปด้วย” คิดได้แบบนี้ตัวเราก็จะมีความสุข มีแรงกาย-แรงใจ ที่จะใช้ในการเดินหน้าต่อไปได้ครับ สำหรับผมและเพื่อนคนนี้แล้ว “ครอบครัว” ถือเป็นแก้วที่สุกสว่างทางใจก็ว่าได้

แก้วดวงที่สอง “อายุการทำงาน”

แก้วดวงนี้ถือว่ายัง “สุกสว่าง” สำหรับเพื่อนผมคนนี้เพราะอายุที่ยังไม่มากเพียง 30 กลางๆ หากเพื่อนผมคนนี้คิดจะเกษียณอายุที่ 60 ปี หมายความว่ายังมีเวลาอีกกว่า 25 ปี ในการเริ่มต้นสร้างเส้นทางทางการเงินให้มั่นคง แก้วดวงนี้จะยังสุกสว่างตลอดช่วงอายุการทำงาน เพราะแน่นอนที่สุดว่าทำงานย่อมได้เงิน แต่จะเริ่มดับเมื่อเกษียณอายุไปแล้วครับ

แก้วดวงที่สาม “เงินเดือนประจำ”

เงินเดือนประจำของมนุษย์เงินเดือนนั้นถือเป็นดวงแก้วที่ “สุกสว่าง” เช่นกัน เพราะหากนับอายุงานอีกกว่า 25 ปีของเพื่อนผมคนนี้บวกกับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท คิดแบบง่ายจะได้ตัวเลขราว 6 ล้านบาทภายในอีก 25 ปีที่เหลือ (คิดได้ดังนี้ครับ)

เงินที่ได้จากการทำงาน = (20,000 บาท/เดือน) x (12 เดือน) x (25 ปี)

= 6,000,000 บาทต่อ 25 ปี

ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ผมจึงบอกกับเพื่อนผมว่าแก้วดวงนี้ถือว่า “สุกสว่าง” ที่สุด แต่มันจะดับหายไปเมื่อเราหมดแรงทำงานไปแล้ว หรือเกษียณอายุไปแล้ว แล้วถ้าดวงแก้วดวงนี้ของเรา “ดับลง” เราจะทำอย่างไรดี?

“เพื่อนผมได้ฟังเรื่องที่ผมเล่ามาถึงกับอึ้ง! และเพิ่งรู้ว่าตนเองก็มีของดีอยู่กับตัวที่ยังคง “สุกสว่าง” อยู่ แต่มันจะค่อยๆ หมองลง และดับในไม่ช้า วิธีที่จะทำให้ดวงแก้วของเรายังสุกสว่างอยู่มีหรือไม่? คำตอบก็คือ สร้างมันขึ้นมาใหม่ครับ!

ดวงแก้วดวงที่สี่ “การลงทุนระยะยาว”

เมื่อเพื่อนของผมถามกลับว่า…

“เราจะสร้างดวงแก้วดวงใหม่ที่สุกสว่างกว่าเก่าได้อย่างไร?

ผมก็ตอบกลับไปว่า…  “เราจะต้องลงทุนระยะยาว”

การลงทุนระยะยาวนั้นไม่ได้หมายความแต่เพียงลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย นับตั้งแต่ หุ้น กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์… แต่บทความต่อๆ ไปผมจะขอ “เจาะลึก” เฉพาะการลงทุนในหุ้น และลงทุนในหุ้นให้ “โตเร็ว” ด้วยครับ!

อย่างไรก็ตามผมเข้าใจว่านักลงทุนส่วนใหญ่ชอบความรวดเร็ว… บางคนอาจจะบอกว่าให้รอ 20-30 ปีใครจะไปรอไหว… จริงครับ… ถ้าเราคิดว่าเรา “แน่พอ” ก็จงลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนรวดเร็ว (อย่าลืมเติมความรู้ไว้ต่อสู้ในสนามลงทุนด้วยนะครับ) แต่ถ้าเราคิดว่าเรายังไม่แน่พอ ไม่เก่งพอ การลงทุนในกองทุนรวมถือเป็นความคิดที่ชาญฉลาด เพราะเหมือนกับเราจ้างนักลงทุนมืออาชีพทำงานยากๆ แทนเรานั่นเองครับ

(นายแว่นธรรมดา)